messager
 
องค์การบริหารส่วนตำบลวังบาล info_outline ข้อมูลการติดต่อ
องค์การบริหารส่วนตำบลวังบาล
วังบาล
อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์
ยินดีต้อนรับ เข้าสู่เว็บไซต์ องค์การบริหารส่วนตำบลวังบาล อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์
local_cafe สถานที่ท่องเที่ยว
ศาลเจ้าพ่อตอมาตย์
ตำนาน คือ เรื่องที่เล่าสืบทอดกันมาผ่านระยะเวลาอันยาวนาน จากรุ่นต่อรุ่น โดยมิได้มีหลักพิสูจน์ได้ทางประวัติศาสตร์หรือไม่สามารถนำไปอ้างอิงทางวิชาการได้ แต่ตำนานก็ทรงคุณค่าทางวัฒนธรรมที่จะบอกเล่าเรื่องราวความเชื่อของผู้คนในแต่ละท้องถิ่น ซึ่งอาจเชื่อโยงไปถึงประเพณี สถานที่ หรือแม้แต่พฤติกรรมต่างๆ ของผู้คนในพื้นที่นั้น ๆ ได้ .. ที่บ้านวังบาล อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นชุมชนเก่าแก่ดั้งเดิมซึ่งมีอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมไทหล่มสูง ก็ได้มีตำนานที่น่าสนใจอยู่เรื่องหนึ่งซึ่งเล่าเรื่องเชื่อมไปถึงสถานที่ต่าง ๆ ในเมืองหล่มอย่างมากมาย นั่นคือ “ตำนานขอนมาดและตอมาด” ตำนานเล่าว่า .. ในสมัยก่อน (บ้างก็ว่า เป็นสมัยกรุงศรีอยุธยา) พระมหากษัตริย์ได้ประกาศให้หัวเมืองต่าง ๆ หาขอนไม้ขนาดใหญ่อย่างดีเพื่อจะนำมาขุดเป็นเรือพระที่นั่ง (บ้างก็ว่า จะเอาไปทำเสาเอกของพระราชวัง) … เจ้าพ่ออู่คำ เจ้าเมืองขอนเดิด (นครเดิด) (บ้างก็ว่า เป็นเจ้าเมืองหล่ม) จึงต้องทำการหาขอนไม้ขนาดใหญ่เพื่อส่งไปเมืองหลวงดังกล่าว เมื่อเวลาผ่านไปจนเกือบจะครบกำหนด เจ้าพ่ออู่คำก็ยังหาขอนไม้ที่ดีไม่ได้จึงเกิดความวิตกร้อนใจคิดกังวลตลอดเวลา จนอยู่มาเช้าวันหนึ่ง เจ้าพ่ออู่คำออกมาล้างหน้า เมื่อชะโงกหน้าเพื่อเข้าไปตักน้ำในโอ่ง ก็มองไปที่ผิวน้ำในโอ่งก็เห็นเงาของนกโตโวคำ(นกกาเหว่า)คู่หนึ่งจับที่ยอดไม้มาด (ไม้ตะเคียน)สูงใหญ่ ครั้นเงยหน้าขึ้นมา กลับไม่พบนกและต้นไม้นั้นเลย แต่กลับได้ยินเสียงนกโตโวคำร้องอยู่ทางทิศเหนือของเมืองขอนเดิด จึงได้สั่งทหารให้ไปสืบหาขอนไม้ตามทิศทางนั้น ก็ได้พบไม้มาด 2 ต้น (บางก็เล่าว่ามีเพียง 1 ต้น) ขนาดสูงใหญ่ใบดกเขียวชอุ่มทั้ง ๆ ที่เป็นหน้าแล้ง ยืนต้นตรงงดงามอยู่ที่เชิงเขาที่บ้านวังบาลจึงกลับไปรายงานเจ้าพ่ออู่คำ เจ้าพ่ออู่คำ จึงให้เสนาฝ่ายขวาคือเจ้าพ่อเหล็กซีและเสนาฝ่ายซ้ายคือเจ้าพ่อขุนจบ พร้อมด้วยเหล่าทหารซึ่งนำโดยขุนส่วง ขุนไกร แต่งทัพนำกองกำลังไป 3,000 คนล่วงหน้าไปตัดขอนไม้มาดและเจ้าพ่ออู่คำก็ได้ตามไปในภายหลังเมื่อไปถึงขอนมาด เจ้าพ่อเหล็กซีได้ให้ทหารทำการตัดขอนมาด แต่ทำอย่างไรไม่สามารถตัดได้เพราะเจ้าที่เจ้าป่าแรง เจ้าพ่ออู่คำจึงประกาศว่า ใครสามารถตัดขอนมาดได้ จะยกบุตรสาวคือเจ้าแม่แพงศรี ให้แต่งงานด้วย เจ้าพ่อเหล็กซีอาสาตัดไม้ด้วยตนเอง โดยการใช้เหล็กซีแทงไม้มาดจนทะลุแต่ไม้ไม่ขาดไม่ล้ม พยามยามแทงอยู่หลายวัน ขอนไม้ก็ไม่ขาด จนในที่สุดเหล็กซีแตกออกเป็น 3 ส่วนคือ ดวง ด้าม และ แข่ว (ดวงคือเหล็กแหลม ด้ามคือที่จับ แข่วคือห่วงเหล็กที่ใช้รัดเหล็กซีหรือตัวดาบ ให้แนบสนิทติดกับด้าม) เมื่อเจ้าพ่อเหล็กซี ไม่สามารถตัดไม้มาดให้ล้มลงได้ เจ้าพ่อขุนจบจึงอาสาตัดแทน เจ้าพ่อขุนจบเป็นผู้มีความสามารถด้านวาทศิลป์ จึงได้ทำการพูดเกลี้ยกล่อมเจ้าป่าเจ้าเขา จนสามารถตัดไม้มาดทั้ง 2 ต้นล้มลงได้ กล่าวว่าเวลาที่ไม้มาดล้มลงนั้นเสียงดังเหมือนฟ้าร้อง กิ่งของไม้มาดที่ล้มลงนั้นทิ่มลงไปในดิน ทำให้เกิดเป็นน้ำสร้าง(บ่อน้ำ) มีน้ำผุดขึ้นมาเลยทันที (บ่อน้ำที่เกิดจากกิ่งไม้มาดทิ่มลงไปในดินนั้น เล่ากันว่าอยู่ใน วัดศรีฐานปิยารามและข้างหอพ่อตอมาดที่บ้านวังบาล) เมื่อตัดเสร็จ เจ้าพ่ออู่คำก็ได้ทำการบวงสรวงแม่ย่านางวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่สิงสถิตอยู่ในขอนมาด และนิมนต์พระมาฉันจังหันรอบ ๆ ตอไม้มาดทั้ง 2 ที่ถูกตัดลง ซึ่งตอไม้มาดมีความใหญ่มากขนาดสามารถวาง “พาข้าว” (สำรับข้าว) ได้ถึง 9 พา (บ้างก็ว่า 100 พา) จากนั้นก็ได้ทำการขุดโกลนขอนมาดทั้ง 2 ให้เป็นรูปเรือ (บ้างก็ว่า เป็นเรือ 1 ต้นเป็นเสา 1 ต้น) โดยมีสะเก็ดไม้ที่ถากนั้นปลิวไปกองรวมกันจนสูงเป็นภูเขาขนาดย่อม (อยู่บริเวณวัดจอมศรี ดอยสะเก็ด ในปัจจุบัน) เมื่อโกลนขอนมาดทั้ง 2 เสร็จแล้วก็ให้เจ้าพ่อเหล็กซีใช้เหล็กแทงขอนมาดให้เป็นรูเพื่อใช้เชือกร้อย และจะใช้กำลังพลชักลากขอนมาดไปทางทิศใต้ เพื่อไปยังแม่น้ำเพื่อทำการขนส่งล่องน้ำต่อไป (บ้างก็ว่า ตอนตัดไม้มาดนั้น สามารถตัดได้ไม่มีปัญหา แต่ตอนแรกใช้ช้างชักลาก กลับชักลากออกไปไม่ได้ ต้องให้เจ้าพ่อขุนจบผู้มีวาทะดีพูดเกลี้ยกล่อมเจ้าป่าเจ้าเขาถึงความสำคัญในการที่จะต้องชักลากขอนมาดออกไป จนสามารถชักลากขอนมาดออกไปได้) จะเห็นได้ว่า เจ้าพ่อขุนจบเป็นผู้มีบทบาทสำคัญ เป็นผู้มีวาทะดี และสามารถใช้คำพูดกับเจ้าป่าเจ้าเขาจนทำให้งานสำเร็จ และได้เจ้าแม่แพงศรีลูกสาวเจ้าพ่ออู่คำมาเป็นภรรยา การชักลากขอนมาดทั้ง 2 ออกไปทำให้เกิดเป็นรอยครูดของขอนกับพื้นดินเป็นร่อง โดยร่องใหญ่ได้เกิดเป็นเหมืองกลาง และร่องเล็กเกิดเป็นเหมืองแกลบเพราะเอาแกลบมารองตอนชักลากขอนไม้ จนมาถึงหนองน้ำแห่งหนึ่ง จึงได้พักกำลังพลเพื่อหุงหาอาหาร โดยทำการหม่าข้าว (แช่ข้าวเหนียวเพื่อให้เมล็ดข้าวขยายตัวก่อนนำไปนึ่ง) ในหนองน้ำนั้น จึงจะพอให้กำลังพลทั้งหมดได้กินข้าวกัน (ปัจจุบันเรียกว่า หนองขาม) ในการหุงหาอาหารนั้น กำลังพลได้เก็บผักหวานมากินกัน แต่ผักหวานกลับเป็นพิษทำให้เกิดการเบื่อผักหวาน (บ้างก็ว่า ไปจับจระเข้มากินเพราะคิดว่าเป็นตะกวด แล้วเกิดเป็นพิษ) กำลังพลได้ล้มตายไปจำนวนมาก ทำให้การชักลากจึงล่าช้าลงไปอีก เมื่อชักลากไปถึงแม่น้ำป่าสัก แต่เนื่องจากเป็นหน้าแล้งจึงน้ำในแม่น้ำป่าสักลดระดับลงไปมาก ยังไม่สามารถนำขอนมาดทั้ง 2 ลงไปล่องน้ำไปได้ในทันที ต้องนำขอนมาดทั้ง 2 พาดค้างรออยู่ที่ขอบตลิ่งริมแม่น้ำก่อน ซึ่งต่อมาบริเวณนั้นก็ถูกเรียกว่า“สักงอย”(สัก คือทิ่มหรือปัก งอย คือพาดค้างขอบไว้) จนเมื่อสามารถนำขอนมาดทั้ง 2 ลงน้ำได้แล้วจึงนำมาผูกติดกันเป็นแพเพื่อทำการล่องน้ำไปพร้อมกันได้สะดวก แต่แล้วขอนมาดก็เกิดขาดหลุดออกจากกันอีก ในบริเวณที่ปัจจุบันนี้ถูกเรียกว่าสักหลง จึงต้องเสียเวลาจัดการผูกติดกันใหม่จนสามารถล่องน้ำลงใต้ไปเมืองหลวงต่อไปได้ แต่เนื่องจากเกิดอุปสรรคในการตัดและชักลากขอนมาดดังกล่าว ประกอบกับการขนส่งทางแม่น้ำป่าสักซึ่งมีความคดเคี้ยวทำให้การเดินทางใช้เวลานานมากจนกระทั่งล่วงเลยเวลาคัดเลือกขอนไม้ของทางเมืองหลวงไปแล้ว เมื่อขอนมาดทั้ง 2 ได้ล่องไปไม่ถึงเมืองหลวง ระหว่างทางก็ทราบข่าวว่า พระมหากษัตริย์ได้ทรงเลือกขอนไม้ที่มาจากลำน้ำน่านไปแล้ว … ขอนมาดพี่น้องทั้ง 2 ก็ถูกละทิ้งไว้ จึงเกิดความผิดหวังเสียใจ พากันร้องไห้และชวนกันลอยทวนน้ำแม่น้ำป่าสักเพื่อที่จะกลับไปยังบ้านวังบาลถิ่นกำเนิด … ขอนมาดผู้น้องร้องไห้ลอยมาถึงแถวสระบุรีจึงหมดแรงก่อนจึงได้จมลงอยู่ในแม่น้ำป่าสัก ซึ่งก็คือบริเวณที่เรียกว่า บ้านเสาไห้ (เสาร้องไห้) ในปัจจุบัน ส่วนขอนมาดผู้พี่ก็ยังคงร้องไห้ลอยทวนน้ำแม่น้ำป่าสักกลับวังบาลต่อไป จนกระทั่งมาถึงบริเวณหน้าวัดท่าน้ำ เมืองท่าโรง(วัดวิเชียรบำรุง อำเภอวิเชียรบุรีในปัจจุบัน) ก็หมดแรงและจมลงสู่ก้นแม่น้ำป่าสักอีกเช่นกัน ตำนานเล่าต่อไปอีกว่า เมื่อกาลเวลาผ่านไปนับร้อยปี แม่ย่านางทั้ง 2 ก็คลายความโศกเศร้าลง จึงได้ไปสร้างนิมิตให้กับผู้คนทั้งที่สระบุรีและวิเชียรบุรี เพื่อให้นำขอนไม้ทั้ง 2 ขึ้นมาจากน้ำ และชาวบ้านทั้ง 2 แห่งต่างก็ได้มีการดำเนินการเชิญขอนมาดทั้ง 2 ขึ้นมาจากแม่น้ำป่าสัก โดยที่สระบุรี อยู่ที่วัดสูง อำเภอเสาไห้ และที่วิเชียรบุรี อยู่ที่วัดวิเชียรบำรุง มาจนทุกวันนี้ (บ้างก็เล่าถึงขอนมาดจากวังบาลมาจมแม่น้ำป่าสักอยู่ที่วิเชียรบุรีเพียงต้นเดียว มิได้กล่าวถึงเรื่องราวเกี่ยวกับขอนมาดต้นที่ 2 ที่อยู่เสาไห้แต่ประการใด) กลับไปที่หล่มเก่า ก็ยังคงเหลือร่องรอยตามตำนานคือ ได้มีการสร้างหอเจ้าพ่อตอมาดไว้ที่บ้านวังบาล (ปัจจุบันเขียนว่า ตอมาตย์) คร่อมตอของขอนมาดไว้ (บ้างก็ว่า อีกตอหนึ่ง ได้สร้างพระธาตุคร่อมไว้) และมีหอเจ้าพ่อเหล็กซีและเจ้าพ่อขุนส่วงอยู่บ้านวัดทุ่งธงไชย หอเจ้าพ่อขุนจบอยู่บ้านวังเวิน หอเจ้าพ่ออู่คำอยู่บ้านนาทราย และหอหลวงอยู่ที่หนองขาม ส่วนบริเวณที่นำขอนมาดไปโกลนเป็นรูปเรือนั้น ก็คือวัดจอมศรี ซึ่งสะเก็ดไม้ที่ถูกถากออกไปกองรวมกันอยู่ ได้มีการสร้างพระธาตุครอบไว้ เรียกว่าพระธาตุดอยสะเก็ด และที่หล่มสัก ก็ยังคงมีบ้านสักงอย สักหลง อยู่ริมแม่น้ำป่าสัก หลังจากนั้น มีเรื่องเล่าว่า แม่ย่านางตอมาด มาเข้าฝันผู้คนบอกว่า ร้อน อยากอยู่ในน้ำ .. ชาวบ้านจึงได้พากันขุดตอไม้มาดออกแล้วนำไปแช่ไว้ในสระน้ำภายในวักศรีฐานปิยาราม บ้านวังบาล และต่อมาเมื่อไม่นานมานี้เอง มีการอัญเชิญตอไม้มาดกลับขึ้นมาไว้บนศาลใหม่อีกครั้งเพื่อให้ผู้คนกราบไหว้ขอพร .. แต่แล้วก็อีกเช่นเดิม มีย่านางตอมาดมาเข้าฝันผู้คนอีกว่าอยากกลับลงไปอยู่ในน้ำเหมือนเดิม .. ชาวบ้านจึงพากันนำตอมาดลงไปแช่น้ำไว้ในสระเช่นเดิม .. แต่คงขอนำกิ่งหนึ่งของรากตอมาดดังกล่าวคงไว้บูชาในศาล ซึ่งปรากฏอยู่ที่หอเจ้าพ่อตอมาดมาจนทุกวันนี้ ตำนานเรื่อง ขอนมาดและตอมาด ได้ถูกเล่าสืบต่อกันมาแล้วเป็นเวลายาวนานมาก จากรุ่นสู่รุ่น จึงอาจมีความคลาดเคลื่อนไม่เหมือนกันในแต่ละเรื่องราวตามแต่ละคนที่ได้เล่าได้ยินกันมา แต่ก็คงเป็นความแตกต่างกันเฉพาะในรายละเอียดปลีกย่อยเท่านั้น ส่วนเนื้อหาที่เป็นแก่นของเนื้อเรื่องของตำนานก็ยังคงมีเค้าโครงที่ใกล้เคียงกันอยู่ … ตำนานเรื่อง ขอนมาดและตอมาดนี้ นอกจากจะได้เล่าเรื่องเชื่อมโยงไปกับสถานที่ต่าง ๆ ที่มีอยู่จริงในปัจจุบัน และเชื่อมโยงไปถึงเรื่องความเชื่อเรื่องเจ้าพ่อเจ้าแม่ที่อยู่ตามศาลในหมู่บ้านชุมชนต่าง ๆ ของคนไทหล่มแล้ว ยังสามารถบ่งบอกได้ถึงความเก่าแก่ของชุมชนไทหล่มที่ได้ลงหลักปักฐานเป็นชุมชนที่มั่นคงในพื้นที่มาช้านานแล้ว นอกจากนั้น ยังแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติของพื้นที่ในสมัยก่อนอีกด้วย จึงนับว่าเป็นตำนานที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์สืบทอดไว้ ไม่ให้หายไปตามกาลเวลา …

ศาลเจ้าพ่อตอมาตย์









พระธาตุปู่เถร




พระธาตุปู่เถร
พระธาตุปู่เถร ตั้งอยู่ในโรงเรียนบ้านวังบาล ต.วังบาล อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ ไม่มีใครทราบว่าตั้งขึ้นเมื่อใด ใครเป็นผู้สร้าง แต่มีตำนานเล่าขานว่าในสมัยก่อนบริเวณนั้นเคยเป็นวัดมาก่อน และได้มีตาเถรมาอาศัยอยู่ ซึ่งตาเถรที่ชาวบ้านเรียกกันนั้น ประพฤติปฎิบัติตนคล้ายกับพระสงฆ์ ในสมัยนั้น ชาวบ้านพากันเคารพนับถือตาเถรมาก เมื่อตาเถรได้เสียชีวิตลง ชาวบ้านจึงได้สร้างพระธาตุนั้นขึ้นมา แล้วชาวบ้านก็พากันเรียกว่า “พระธาตุปู่เถร” จนถึงปัจจุบัน ลักษณะศิลปะที่ปรากฏ เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมมีอิทธิพลของศิลปะเชียงแสนผสมกับล้านช้าง ด้านล่างสุดจากพื้นขึ้นมา 1.10 เมตรเป็นซุ้มทั้งสี่ทิศลวดลายยังเหลืออยู่บ้าง ต่อจากชั้นนี้สูงประมาณ 1.20 เมตร เป็นลายปูนปั้น เป็นลายมะหวดคล้ายๆ ลูกกรง แล้วทำลดหลั่นกันขึ้นไปอีกหลายๆชั้น จนถึงเจดีย์จริงๆ ซึ่งคล้ายกับทรงลังกาเป็นเหลี่ยมสอดคล้องกับฐานเบื้องล่าง แต่ในปัจจุบันนี้ ยอกของพระธาตุ ได้หักลงมาแล้ว แต่ไม่ปรากฏว่ายอดของพระธาตุนั้นเก็บไว้ที่ไหน และได้มีการขุดพบพระพุทธรูปในช่วงที่อาจารย์เคลื่อน สายทองมาตร เป็นอาจารย์ใหญ่ (ปี 2508 - 2521) พระพุทธรูปมีลักษณะนั่งอยู่บนเก้าอี้ มือขวามีลักษณะคล้ายๆ กับทำการจีบมือ มือซ้ายหงายขึ้น วางไว้ที่หน้าขาด้านซ้าย นอกจากนี้ชาวบ้านเชื่อ “ปู่เถร” เป็นผู้คอยปกปักรักษาชาวบ้านบ้างก็ เชื่อว่าเมื่อเด็กร้องไห้ไม่หยุดแสดงว่าปู่เถรไปหา พ่อแม่ของเด็กต้องเอาตำหมาก พาหวาน บุหรี่ มาถวาย เด็กจึงจะหยุดร้องไห้ และถ้ามีเด็กเกิดใหม่ภายในหมู่บ้านจะต้องพาเด็กไปฝากเป็นลูกเป็นหลานปู่เถร สำหรับประเพณีที่ทำสืบทอดต่อกันมา คือประเพณีการสรงน้ำองค์พระธาตุปู่เถรในวัน สรงกรานต์ ซึ่งชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นศิริมงคลและจะไม่เกิดภัยพิบัติในหมู่บ้าน

วัดป่าภูทับเบิก
วัดป่าภูทับเบิก เป็นสถานปฏิบัติธรรมสายธรรมยุตินิกาย สร้างขึ้นเมื่อปี สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2534 ด้วยเนื้อประมาณ 50 ไร่ บนยอดเขาสูง 1,786 เมตร จากระดับน้ำทะเล ห่างจากจุดชมวิวภูทับเบิกประมาณ 6 กิโลเมตร รายล้อมไปด้วยป่าเขาอุดมสมบูรณ์ และสายหมอกที่ปกคลุมในยามเช้า ทำให้วัดแห่งนี้มีอากาศเย็นสบายตลอดปี อีกทั้งยังมีบรรยากาศที่เงียบสงบ เหมาะกับการมาทำบุญ และปฏิบัติธรรมเพื่อให้จิตใจสงบร่มเย็น จุดเด่นของวัดป่าภูทับเบิกคือ พระมหาธาตุเจดีย์โพธิปักขิยธรรม ที่มีความโดดเด่นแม้จะมองจากที่ไกลๆ เป็นพุทธสถานที่เริ่มการก่อสร้างขึ้น เมื่อ ปี พ.ศ.2549 โดย พระอาจารย์วัชระ วิจิตโต เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุที่ องค์สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆประณายก ทรงเมตตาประทาน พร้อมผ้าพระกฐินแก่วัดป่าภูทับเบิกในปี พ.ศ. 2555 ก่อนจะมีการประกอบพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุในผอบทองคำ สูง 99 เซนติเมตร และฉัตรทองคำสูง 161 เซนติเมตร ขึ้นประดิษฐานบนยอดสูงสุดของพระมหาธาตุเจดีย์ในวันที่ 1 มิถุนายน ปี พ.ศ. 2558 นอกจากจะเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุแล้ว ในพระมหาธาตุเจดีย์ยังเป็นที่ประดิษฐาน พระพุทธโคดมปางไสยาสน์ และ พระศรีอริยเมตไตรย์ ลงรักปิดทองประดับเพชรพลอยรัตนชาติ นอกจากนี้ยังมีพระประจำวันประดิษฐานอยู่ทั้ง 4 ทิศ องค์พระมหาธาตุเจดีรายล้อมไปด้วยผอบทองคำที่บรรจุพระอัฐิธาตุพระอัครสาวก 36 พระองค์ ด้านหน้าพระมหาธาตุเจดีย์จะมีบันไดพญานาคเงิน-พญานาคทอง 9 เศียร ประดับตกแต่งด้วยลวดลายสวยงาม หลังจากทำบุญ กราบไหว้พระธาตุเพื่อความเป็นสิริมงคลเป็นที่เรียบร้อย ก็ถึงเวลาชมวิวสวยๆ รอบๆ วัดค่ะ เราจะได้ชมวิวของภูเขา ไร่นา และหมู่บ้านในระแวกใกล้เคียงได้แบบ 360 องศาเลย ยิ่งถ้ามาในช่วงเช้าของฤดูฝนตลอดไปจนถึงฤดูหนาว จะมีโอกาสได้ชมทะเลหมอกสวยๆ ที่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ เหมือนสวรรค์บนดิน การเดินทางไป วัดป่าภูทับเบิก ให้ขับรถตามเส้นทางหลวงหมายเลข 2331 (สี่แยกน้ำชุน-สามแยกภูทับเบิก) จนกระทั่งถึงป้ายบอกทางเข้าหมู่บ้าน ภูทับเบิก ให้ตรงเข้าไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตร เมื่อถึงจุดชมวิวภูทับเบิกแล้ว ให้ขับเลยไปอีกประมาณ 6 กิโลเมตร ก็จะถึงวัดป่าภูทับเบิก วัดป่าภูทับเบิก เพราะเป็นวัดสายปฏิบัติธรรมด้วยสถานที่บรรยากาศที่สงบและห่างไกลจากความเจริญทำให้วัดแห่งนี้เป็นที่รู้จักของนักปฏิบัติธรรม มีนักร้องนักแสดงมากมายและอีกหลากหลายอาชีพมาปฏิบัติธรรมที่นี่กันมาก นอกจากเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมแล้ว วัดแห่งนี้ได้ชื่อเป็นวัดที่สูงที่สุด ในประเทศไทยด้วย และยังมีจุดจมวิวภูทับเบิกสวยๆให้ชม ทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางขึ้นไปกราบไหว้และท่อเที่ยวไปในตัว ถือว่าเป็นวัดป่าภูทับเบิกเป็นวัดที่สูงที่สุดในประเทศไทยในปัจจุบัน

วัดป่าภูทับเบิก














วัดโพนทองผาเมือง บ้านเหมืองแบ่ง
วัดโพนทองผาเมือง ที่ตั้ง : หมู่ที่ 11 ต.วังบาล อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ พิกัด : 16.91489,101.17069 วัดโพนทองบ้านเหมืองแบ่งสร้างเมื่อปีพุทธศักราช 2480 ชื่อของวัดโพนทองมีที่มาจากจอมปลวกขึ้นมาสงเป็นโพนและไม้ตะเคียนทองใหญ่ขึ้นอยู่ในบริเวณวัด ส่วนหมู่บ้านเหมืองแบ่งมีชื่อมาจากได้รับมีราษฎรอพยพมาจากอำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก และหมู่บ้านวังบาลในสมัยก่อน โดยการนำของปู่ยกบัตรหลังจากนั้นชาวบ้านได้แบ่งน้ำเข้าทุ่งนาเพื่อมาทำการเกษตร ด้วยเหตุนี้จึงเกิดเป็นชื่อบ้านเหมืองแบ่งขึ้นมา วัดโพนทองได้สร้างเป็นวัดนับตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน พุทธศักราช 2480 เป็นต้นมา ประชาชนส่วนใหญ่นิยมเรียกชื่อวัดว่า “วัดโพนทองบ้านเหมืองแบ่ง” ตามชื่อหมู่บ้าน บางคน เรียกว่า “วัดโพนทองเหมืองแบ่ง” เสนาเสนาะ มีอุโบสถ ศาลากลางเปรียญ กุฎิสงฆ์จำนวน 2 หลัง และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2519 เขตวิสงคามสิมมีความกว้าง 20 เมตร ยาว 40 เมตรได้ผูกพัทธสีมาเมื่อวันที่ 15 มีนาคม พุทธศักราช 2519 และ เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2565 วัดโพนทอง บ้านเมืองแบ่งได้จัดงานฉลองสมโภชน์พระธาตุศรีมิ่งเมือง เพื่อบรรจุพระธาตุ และสิ่งศักดิ์สิทธิ ที่ชาวบ้านเคารพนับถือ วัดโพนทองผาเมือง ตั้งอยู่ช่วงตรงกลางหมู่บ้านเหมืองแบ่ง หมู่ที่ 11 ตำบลวังบาล อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นอีกหนึ่งวัดของตำบลวังบาล ที่มีความสวยงามและเป็นที่นับถือ ศรัทธา ของชาวบ้านเหมืองและชาววังบาล มีพระจำวัด 6-9 รูป ภายในวัดมีโบสถ์ที่สร้างด้วยความสวยงาม ละเอียดอ่อนและมีวัตถุมงคลของโบราณ เป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของคนในหมู่บ้านเหมืองแบ่งมาช้านาน เป็นวัดที่เงียบสงบ และโบสถ์ที่มีความสวยงามวิจิตร น่ามาปฏิบัติธรรม ภายในโบสถ์ประดิษฐานหลวงพ่อทันใจ ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าขอพรหลวงพ่อทันใจแล้ว ได้ผลทันใจจริงๆ นอกจากโบสถ์ที่สวยงามแล้วยังมีรูปปั้นองค์เทพต่างๆ เช่น พระแม่ธรณี นางกวัก เจ้าแม่กวนอิม ฯลฯ ทุกคนคงเคยได้ยินคำว่า “ราหูอมจันทร์” แต่ทราบหรือไม่ว่า ทำไมราหูถึงต้องอมจันทร์ เรื่องนี้มีที่มาจากตำนานของอินเดีย เรื่องมีอยู่ว่า มีฤาษีตนหนึ่งนามว่า ทุรวาสเป็นปางหนึ่งในการอวตารของพระศิวะ วันหนึ่งพระอินทร์ได้ทรงช้างเอราวัณ ผ่านมาเมื่อฤาษีทุรวาสเห็นก็ได้นำพวงมาลัยถวายแด่องค์พระอินทร์ แต่เมื่อช้างเอราวัณได้กลิ่นของดอกไม้ก็มึนเมา และกระทืบพวงมาลัยจนเละ ส่วนพระอินทร์ก็มิได้กล่าวคำขอโทษแต่อย่างไดๆ เลย ทำให้ฤาษีทุรวาสโกรธมากและสาปให้เทวดาต้องพายแพ้ทุกครั้งที่สู้รบกับยักษ์

วัดโพนทองผาเมือง บ้านเหมืองแบ่ง









วัดศรีฐานปิยาราม บ้านวังบาล
วัดศรีฐานปิยาราม บันทึกไว้ว่า ประชาชนชาววังบาลได้อพยพมาจากล้านช้าง หลวงพระบาง น้ำลี่ แสนศรี (แสนหวี) โดยการนำของขุนวังบังบาลสองพี่น้องได้มา สร้างบ้านแบ่งเมืองที่วัดศรีฐาน วังบาล คือหมู่บ้านวังบาลในปัจจุบัน วัดศรีฐานตั้งอยู่เลขที่ 1 บ้านวังบาล หมู่ที่ 15 (เดิมอยู่หมู่ที่ 9 ) ตำบลวังบาล อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย มีที่ดินตั้งวัดเนื้อที่ 3 ไร่ 1 งาน 45 ตารางวา อาณาเขตทิศเหนือยาว 1 เส้น 16 วา 2 ศอก ติดต่อกับถนนสาธารณะ ทิศใต้ยาวเส้น 15 วา 3 ศอก ติดต่อกับที่ดินของชาวบ้าน ทิศตะวันตกยาว 1 เส้น 13 วา ติดกับซอยเข้าหมู่บ้าน ตาม นส. 3 ก. เลขที่ 2167 มีที่ธรณีสงฆ์ จำนวน 1 แปลง เนื้อที่ 1 ไร่ ได้สร้างเป็นวัดนับตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ 2225 เป็นวัดที่เก่าแก่ สร้างมานาน โดยมีหลวงพ่อศรีฐานเป็นผู้นำจัดสร้างวัดจึงได้มีนามว่าวัดศรีฐาน แต่ชาวบ้าน นิยมเรียกว่าวัดวังบาล ตามชื่อหมู่บ้าน อุโบสถก็ได้จัดสร้างขึ้นใหม่แทนหลังเก่านับเป็นวัดที่ได้รับวิสุงคามสิมานับตั้งแต่ในราวปี พ.ศ. 2225 -ชุมชนวัดศรีฐานปิยามราม มีความโดดเด่นในเรื่องของการเป็นชุมชนคุณธรรม เมืองท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมหล่มเก่า หรือวิถีไทหล่ม -ศูนย์วัฒธรรมเฉลิมราช วัดศรีฐานปิยามรามตำบลวังบาล ซึ่งเป็นโรงเรียนผู้สูงวัย ที่ทุกสัปดาห์ผู้สูงวัยในระแวกนั้นจะมารวมตัวกันทำกิจกรรมต่างๆ เช่น กิจกรรมทอผ้าพื้นเมือง ซึ่งปกติชาวบ้านส่วนใหญ่จะเป็นชาวไร่ ชาวนาและทอผ้าเป็นอาชีพเสริม โดยสืบสานการทอผ้าจากบรรพบุรุษ และถ่ายทอดให้ลูกหลานได้เรียนรู้เพื่อนำไปประกอบอาชีพ ขั้นตอนการทอผ้า จะเริ่มจากการอิ้วฝ้าย เอาเม็ดออก นำมาดีดฝ้าย ล้อฝ้าย ให้เป็นเปียฝ้ายเก็บไว้เป็นระเบียบ และนำมาใส่กรงเพื่อกวักฝ้าย ทำเป็นเส้นยืน หรือทำเป็นหลอดด้าย เพื่อให้เป็นเส้นพุ่งในการทอ โดยผ้า 1 ผืนจะใช้เวลาในการทอราว 3 วัน ราคาก็จะแตกต่างกันไปแล้วแต่ลวดลาย ในโบสถ์วัดศีฐานปิยาราม มีพระพุทธรูปสีดำองค์หนึ่ง ชาวบ้านจะนับถือมากและไปเสี่ยงทายกัน เล่ากันถ้าเราไปขอ แล้วเสี่ยงทายว่าจะเราจะได้ตามที่ขอหรือไม่นั้น หลวงพ่อเล่าว่า ให้เราอธิฐานสามครั้ง ครั้งแรกให้ขอ...แล้วอธิฐาน ถ้าได้ตามที่ขอ ขอให้ยกองค์พระขึ้น ครั้งที่สองให้ขอ..(เรื่องเดิม)แล้วอธิฐาน ถ้าได้ตามที่ขอ ขอให้ยกองค์พระไม่ขึ้น และครั้งที่สามให้ขอ... แล้วอธิฐาน ขอให้ยกองค์พระขึ้นอีกครั้ง ถ้าทำได้ตามที่ขอ คำอธิฐานของเราจะเป็นจริง แต่ถ้าเราจะไม่ได้ตามที่ขอ คำอธิฐานของเราจะไม่เป็นจริง ซึ่งที่ผ่านหลวงพ่อท่านบอกว่าได้ตามที่ขอจำนวนมาก ชาวบ้านจึงให้ความเคารพนับถือกันมาก **คำว่าพระเสี่ยง(เซี่ยง ในภาษาหล่ม หมายถึง ซ่อน แอบ) ตอนแรกใจว่าเสี่ยงทาย แต่ไม่ใช่ คนเฒ่าคนแก่แถวนั้นเล่าว่า สมัยก่อนพระองค์นี้ถูกขโมยไปแล้วนำไปซ่อนไว้ จนชาวบ้านหาเจอแล้วได้นำมากลับมาประดิษฐานไว้ที่วัดศรีฐานแห่งนี้

วัดศรีฐานปิยาราม บ้านวังบาล
















วัดศรีมงคล บ้านนาทราย
วัดศรีมงคล บ้านนาทรายตั้งอยู่ที่หมู่ 3 บ้านนาทราย ต.วังบาล อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ มีเนื้อที่ประมาณ 3 ไร่เศษ เมื่อสร้างวัดแล้ว หลวงโง้ง เจ้าอาวาสองค์แรกและชาวบ้านได้ตั้งชื่อว่า "วัดทรายงาม" โดยตั้งชื่อตามสภาพพื้นที่ดินซึ่งเป็นทรายสีแดง ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อใหม่ว่า "วัดศรีมงคล" วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่งที่ก่อตั้งมาในช่วงสมัยกรุงศรีอยุทธยาตอนปลายถึงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์และสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นไทยคือ ภาพจิตกรรมฝาผนังที่อยู่รอบภายในโบสถ์ เขียนภาพโดยนายแดง หรือนายขี้ฑูตใช้เวลาเขียนถึงสามปีเศษ ได้ค่าจ้างในราคา 1 ชั่ง 4 ตำลึง ลักษณะของภาพเขียนเล่าถึงเรื่องพระเจ้าสิบชาติ มีศิลปะต่างชาติเข้ามาผสมผสาน ภาพเขียนจะสะท้อนถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยในสมัยนั้น สีสันสวยงาม ใช้สีฝุ่นผสมกาวไม้ สีเปลือกไม้ และสีดินระบายภาพ ตัดเส้นแบบแบนเขียนภาพบนฝาผนังปุน (ปางสะดุ้งมาร) ปู่ใจ นันทะเป็นผู้แกะสลัก ปัจจุบันวัดศรีมงคล บ้านนาทราย ได้รับการขึ้นทะเบียนจากกรมศิลปกรให้เป็นโบราณสถานที่สำคัญของชาติ ที่ควรอนุรักษ์ วัดศรีมงคล หรือ วัดบ้านนาทราย มีเรื่องเล่าติดต่อกันมาเกี่ยวกับความศรัทธา... อาถรรพ์ ผู้หญิงห้ามเข้า นอกจากนี้แล้วที่นี้ยังมีประเพณี เลี้ยงปี... ไล่ผีหลวง เป็นหนึ่งในตำนานคู่เรื่องราวของ โบสถ์มหาอุตม์ ภาพกิจกรรมอันล้ำค่า ควรค่ายิ่งแห่งการแสวงหาดูให้เป็นบุญตา ความเชื่อที่สืบต่อกันมา คนในห้ามออกคนนอกห้ามเข้า ทุกปีที่ตำบลวังบาล อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ จะต้องมีพิธีบุญเลี้ยงปี ไล่ผีหลวง หรือชาวบ้านเรียกกันว่า ซำฮะบ้าน ลูกๆหลานๆไม่ว่าจะไปอยู่กันในแห่งหนตำบลไหนจะต้องกลับบ้าน ส่วนคนที่ไม่มีทายาทจะต้องออกจากพื้นที่ในการทำพิธี ชาวบ้านวังบาลจะมารวมตัวกันที่วัดศรีมงคล... สิ่งสำคัญที่ปฏิบัติกันมา มีความเชื่อกันว่า ผู้หญิง เป็นสิ่งต้องห้ามก้าวย่างเข้าไปในโบสถ์แห่งนี้โดยเด็ดขาด ด้วยเพราะอาถรรพ์ที่เล่าสืบต่อๆ กันมา ใครฝ่าฝืนจะต้องมีอันเป็นไป คำบอกเล่าจากรุ่นสู่รุ่น โบสถ์แห่งนี้เป็นมรดกล้ำค่าของชาวหล่มเก่า และยังได้ขึ้นทะเบียนเป็นสถานที่ล้ำค่าของชาติ ที่นี้มีภาพเขียนฝาผนังที่งดงามมาก แถมยังเป็นโบสถ์มหาอุตม์ ที่มีความเชื่อในเรื่องการประกอบพิธีศักดิ์สิทธิ์สืบต่อกันมา ประเพณีเลี้ยงปี ไล่ผีหลวง ณ บ้านนาทรายตำบลวังบาล อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นพิธีสำคัญและใหญ่ที่สุด กำหนดจัดกันในทุกเดือนหกของปี ร่างทรงและผู้ที่นับถือเจ้าพ่อจะไปอยู่ที่ใดต้องกลับมาร่วมพิธีนี้ทุกครั้ง ถ้ามาไม่ได้ต้องให้คนในครอบครัวเสียไก่ เสียเหล้า เพื่อเป็นสิ่งแทนตัวบุคคลมาร่วมงาน ผู้ที่มาบนบานศาลกล่าวไว้จะกลับมาแก้บนในวันนั้นด้วย สำหรับอาหารคาวที่ใช้เซ่นไหว้... หมู ไก่ เป็ด จะหมุนเวียนทุกปี โดยร่างทรงและลูกผึ้ง ลูกเทียน จะร่วมรับประทานอาหารหลังจากเลี้ยงเจ้าพ่อแล้ว จากนั้นจึงทำพิธีสู่ขวัญ มีหมอแคนทำพิธี เจ้าพ่อองค์ใหญ่ เจ้าพ่อองค์รอง และเจ้าพ่อองค์เล็ก จะผลัดกันผูกข้อมือ ลำดับสุดท้าย เจ้าพ่องค์ใหญ่ผูกข้อมือให้ลูกผึ้งลูกเทียนจนเป็นที่พอใจ และสุดท้ายเข้าสู่พิธีไล่ผีหลวง เป็นพิธีปัดเป่าและส่งบรรดาพวกผีปีศาจสิ่งชั่วร้ายออกจากหมู่บ้านนาทรายนั้นเอง เหตุผลถึงการห้ามผู้หญิงเข้าเข้าพระอุโบสถ วึ่งที่ผ่านมามีเหตุการณ์ที่ทำให้ชาวบ้านเชื่อกันเป็นเสียงเดียวเลยว่า การที่ผู้หญิงเข้ามาในโบสถ์ทำให้เกิดไฟไหม้ โบสถ์ถึงสองครั้งสองคราว หน้าต่าง หลังคามุงด้วยกระเบื้องดินเผา และเป็นโบสถ์ที่มีความเชื่อเรื่องธรณีประตู ห้ามผู้หญิงข้ามผ่านเข้ามาภายในเด็ดขาด อีกมุมหนึ่งน่าจะเป็นกุสโลบายความเชื่อเรื่องประตูธรณี ซึ่งเป็นจุดที่มีนายทวารบาล หรือเทพเทวดาที่คอยดูแลปกปักรักษา ดังนั้นต้องให้ความเคารพ เช่นเดียวกันเหตุผลทางธรรม การข้ามผ่านธรณีประตูเปรียบได้กับการข้ามพ้นโลกและอำนาจกิเลส จึงเป็นเครื่องสอนใจให้ควบคุมตนเองให้อยู่เหนือกิเลส

วัดศรีมงคล บ้านนาทราย














วัดปฐมเทพเนรมิต (วัดถ้ำภูปูน)
วัดปฐมเทพเนรมิต(บ้านภูปูน) เดิมชิ่อวัดถ้ำภูปูน เป็นวัดร้างเก่าแก่อายุนับร้อยปี ซึ่งสันนิฐานว่าเกิดจากภัยธรรมชาติทำลาย โดยมีซากเมือง และอุโบสถเก่า และบริเวณติดกับวัดจะมีถ้ำอยู่ ชื่อถ้ำภูปูน เป็นถ้ำที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิดูแลรักษา ตำนานเล่าว่าในถ้ำมีทรัพย์สมบัติและของวิเศษของพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป โดยมีเทพรักษาอยู่ ดังนั้นภายในบริเวณวัดจุงมีสิ่งศักดิ์สิทธิคอยดูแล วัดถ้ำภูปูนมีโบสถ์ร้าง ในโบสถ์มีพระพุทธสิหิงส์ที่เสด็จมาเอง (ศักดิ์สิทธิมาก ถ้าบนไว้จะต้องมาแก้)ในวัดจะมีต้นไม้น้อยใหญ่ รายลอบ และมีลำธารไหลผ่าน ยังคงความสมบูรณืของธรรมชาติ ดูสงบ ร่มเย็น น่าเลื่อมใสและเข้ามาปฎิบัติธรรมอย่างมาก วัดปฐมเทพเนรมิต (วัดถ้ำภูปูน) มีพระอธการสมาน สุมโนเป็นเจ้าอาวาส ก่อตั้งเมื่อประมาณ 10 ปี พระรูปแรกจำวัดได้ 1 ปี พระรูปต่อมาอยู่ได้ 3 เดือน และต่อมาพระอธิการสมาน สุมโน มาจำพรรษาอยู่จนถึงปัจจุบัน สาเหตุที่พระจำพรรษษนานๆ ไม่ได้เพราะว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยดูแลรักษา พระที่มีศิลไม่บริสุทธิ์จะอญุ่ไม่ได้ ประเพณีท้องถิ่นที่สืบทอดกันมา คือประเพณีสรงน้ำถ้ำ (มีถ้ำอยู่ทางทิศตะวันตกของหมู่บ้าน ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 2 กิโลเมตร ภายในถ้ำมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่อยู่ 2 องค์) ชาวบ้านเชื่อว่าถ้ำเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิประจำหมู่บ้าน ซึ่งชาวบ้านจะต้องเคารพนับถือบูชา ใครจะลบหลู่ไม่ได้ พอถึงขวบปี (รอบปี) ชาวบ้าจะจัดงานบวงสรวงบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ (เจ้าถ้ำ) โดยการนำของคนทรงเจ้า จะนำขบวนแห่บั้งไฟมาสรงน้ำและจุดบั้งไฟถวาย เพื่อเป็นศิริมงคลแก่ตัวเองและครอบครัว

วัดปฐมเทพเนรมิต (วัดถ้ำภูปูน)














วัดโพธิ์ทอง บ้านน้ำครั่ง
วัดโพธิ์ทอง ตั้งอยู่บ้านน้ำครั่ง หมู่ที่ 5 ตำบลวังบาล อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ เป็นวัดที่มีโบสถ์เก่าโบราณ ตั้งอยู่ และมีโบสถ์หลังใหม่สร้างขึ้นมาคู่กันไว้ เป็นสถานที่ที่ชาวบ้านใช้ประกอบกิจกรรมทางพุทธศาสนา ทำบุญตักบาตร และศึกษาข้อมูล ภายในวัดบรรยากาศร่มรื่น ชวนเข้ามาปฎิธรรม นอกจากนี้ภายในวัดยังมี พิพิทภัณฑ์พื้นบ้านวัดโพธิ์ทองบ้านน้ำครั่ง จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ในสมัยโบราณ แสดงออกให้เห็นถึงวิถีชีวิตของคนในสมัยก่อน แสดงอุปกรณ์เครื่องใช้ในการดำรงชีวิต อุปกรณ์ที่ใชในการหาอาหาร ประกอบการหุงหาอาหาร อุปกร์จับปลา การขนส่ง อุปกรณ์ทางการเกษตร เป็นต้น มีศุนย์สุขภาพ /โรงเรียนสร้างสุข/ โครงการวัฒนธรรมไทย สายใยในชุมชน บ้านน้ำครั่ง ยังมี "ประเพณีบุญบั้งไฟ ไหว้เจ้าพ่อสุริวงศ์" บ้านน้ำครั่ง ต.วังบาล อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ ประเพณีดังกล่าวจะจัดขึ้นในช่วงขึ้น 7 ค่ำ เดือน 7 ของทุกปี ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า "ประเพณีบุญบั้งไฟ ไหว้เจ้าพ่อสุริวงศ์" เพื่อเป็นการขอบคุณที่ท่านคอยปกปักรักษา คุ้มครองชาวบ้านให้อยู่เย็นเป็นสุข โดยชาวบ้านจะตั้งขบวนบริเวณศาลเจ้าพ่อสุริวงศ์ แห่มายังวัดโพธิ์ทอง โดยมีการแห่รอบศาสนสถานภายในวัด 3 รอบ จากนั้นร่างทรงเจ้าพ่อ เจ้าแม่องค์ต่างๆ จะไปรวมตัวกันหน้าศาลหลวงพ่อพรหมจักร ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านหน้าโบสถ์ของวัดโพธิ์ทอง เพื่อถวายผ้าไตร บาตร ตาลปัตร ให้กับหลวงพ่อพรหมจักร หลังจากเสร็จพิธี ชาวบ้านจะตั้งขบวนแห่ไปยังสถานที่จุดบั้งไฟ เพื่อร่วมจุดบั้งไฟตามประเพณี และจะมีการเลี้ยงข้าวปลาอาหารผู้ที่เข้ามาร่วมงานด้วย

วัดโพธิ์ทอง บ้านน้ำครั่ง





วัดจอมศรี (ดอยสะเก็ด)
วัดจอมศรี ตั้งอยู่ที่หมู่ 10 บ้านวังบาล ต.วังบาล อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ ชาววังบาลเรียกกันอีกชื่อหนึ่ว่า วัดดอย /วัดดอยสะเก็ด เป็นวัดที่มีความเก่าแก่และมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญอีกวัดหนึ่ง จุดเด่นมีพระธาตุสีขาว ทรงระฆังคว่ำ องค์ใหญ่โดดเด่นสง่างาม ได้บูรณะใหม่โดยการทาสีขาวทั้งองค์พระธาตุ เมื่อ ธันวามคม พ.ศ. 2562 มีหอระฆังเก่าแก่ทำด้วยไม้เสาเดี่ยว ที่ยังคงอนุรักษ์ไว้ให้ลูกหลาน คนรุ่นหลังได้ศึกษา ได้ชม ซึ่งปัจจุบันหาดูได้อยากแล้ว (เกร็ดความรู้เรื่องไทยศึกษา) หอระฆัง หอกลอง หอระฆัง หอกลอง เป็นสิ่งก่อสร้างที่ต้องมีประจำทุกพระอารามมาตั้งแต่สมัยโบราณ เพื่อใช้แขวนระฆัง กังสดาล หรือกลอง สำหรับเคาะหรือตีเป็นสัญญาณบอกเวลาแกพระสงฆ์และสามเณรได้ทราบเวลาเพื่อจะได้ปฏิบัติสมณะกิจประจำวันโดยพร้อมเพรียงกัน และเป็นการบอกเวลาหรือสัญญาณภายในชุมชนได้อีกด้วย การสร้างหอระฆัง หอกลอง บางวัดจะใช้หอเดียวกันเป็นทั้งหอระฆังและหอกลอง ซึ่งบางทีก็เรียกว่า “หออาณัติ” บางแห่งก็สร้างแยกกัน คือ หอกลอง และ หอระฆัง บางวัดก็แขวนกลองไว้ตามศาลาการเปรียญหรือหอฉัน คงมีแต่หอระฆังอย่างเดียว ในสมัยโบราณเช่นในสมัยอยุธยา ถ้าเป็นวัดตามชนบทหรือวัดนอกกำแพงเมือง ส่วนมานิยมสร้างด้วยเครื่องไม้ แต่ถ้าเป็นวัดสำคัญหรืออยู่ในกำแพงเมือง นิยมสร้างด้วยเครื่องก่อ คือก่ออิฐถือปูน เช่น หอระฆังวัดพระศรีสรรเพชญ ภายในพระราชวัง วัดวรโพธิ์ หรือ วัดโลกยสุธาราม เป็นต้น เชื่อว่าในสมัยรัตนโกสินทร์ก็คงมีคติเช่นเดียวกัน หอระฆัง หอกลอง ประเภทสร้างด้วยไม้ มีโครงสร้างยกพื้นลอยท่ามกลางเสาไม้สี่ต้น มีลูกกรงหรือพนักแบบต่าง ๆ กั้นทั้งสี่ด้าน เครื่องบนหลังคาเป็นสถาปัตยกรรมแบบไทย กรอบหน้าบันประดับด้วยช่อฟ้าใบระกา หางหงส์ หลังคามุงด้วยกระเบื้องดินเผา ใต้ฝ้าเพดานเป็นที่แขวนระฆังหรือกลอง มีบันไดเล็ก ๆ เพื่อขึ้นไปเคาะระฆังหรือตีกลองได้ ส่วนหอระฆัง หอกลอง ที่สร้างแบบก่ออิฐถือปูน มีรูปร่างต่าง ๆ กัน มีทั้งที่ก่อเป็นสองชั้น หรือหอสามชั้น มีทั้งรูปทรงสี่เหลี่ยม แปดเหลี่ยม และทรงกระบอกตามอิทธิพลศิลปะตะวันตก และอิทธิพลศิลปะจีน หรือบางวัดเป็นแบบผสมผสานกัน หรือตามความคิดของศิลปินเองก็มี เช่น หลังคาจตุรมุขยอดทรงเจดีย์ ทรงบุษบกทรงมงกุฎ ทรงยอดเกี้ยว ทรงไทยแบบลดชั้น ตัวอย่างเช่น หอระฆังวัดพระเชตุพนฯ มีอยู่สองหอ ก่ออิฐถือปูนแบบจตุรมุขยอดทรงเจดีย์ ประดับด้วยกระเบื้องถ้วยหลากสี สร้างสมัยรัชกาลที่ 1 บูรณะสมัยรัชกาลที่ 3 หอระฆัง วัดระฆังโฆสิตาราม สร้างแบบ หลังคาจตุรมุข หลังคาลดชั้นทั้งสี่มุม แผนผังรูปกากบาท แขวนระฆังห้าลูก หอระฆัง สร้างตามแบบอิทธิพลศิลปะจีน ประจำวัดมหรรณพาราม และวัดราชโอสาราม หอระฆัง สร้างตามแบบอิทธิพลศิลปะตะวันตก ประจำวัดชิโนรสาราม และวัดสุวรรณาราม หอระฆัง วัดมกุฎกษัตริยาราม ตัวหอเป็นทรงกระบอก เจาะหน้าต่างเป็นช่องวงกลม หลังคาคล้ายแบบจีน สมัยรัชกาลที่ 4 หอระฆัง วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตัวหอและหลังคาทำแบบทรงบุษบก ตั้งอยู่บนฐานสูงย่อไม้สิบสอง ประดับด้วยกระเบื้องถ้วยหลากสี แขวนระฆังลูกที่ขุดได้จากวัดระฆัง ซึ่งกล่าวว่ามีเสียงกังวานไพเราะมาก สมัยรัชกาลที่ 5 หอระฆัง วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ก่อด้วยอิฐถือปูนเป็นอาคารสองชั้น ชั้นบนเป็นซุ้มโปร่ง ย่อไม้สิบสอง ยอดทรงพระเกี้ยว หรือ ทรงมงกุฎ ประดับด้วยกระเบื้องถ้วยหลากสี สมัยรัชกาลที่ 5 หอระฆัง วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ก่อสร้างด้วยเครื่องไม้ผสมเครื่องก่อ ฐานก่ออิฐถือปูนประดับด้วยหินอ่อน หลังคาทรงไทยลดชั้นหน้าหลังประดับช่อฟ้าใบระกา หางหงส์ พระราชทานนามว่า “หอระฆังบวรวงศ์” สมัยรัชกาลที่ 5 (จาก พุทธศิลปรัตนโกสินทร์ ของ รองศาสตราจารย์สงวน รอดบุญ. 2526.) ส่วนทางทิศตะวันออกของวัดมีบันไดทอดยาวถึงลานพระธาตุ เป็นอุบายของคนโบราณที่มีความเชื่อและศัทธาต่อการสร้างบุญกุศลเพราะเปรียบเดินขึ้นบนสวรรค์ มีเรื่องเล่าว่าดอยสะเก็ดคือดินที่เกิดจากการตัดไม้มาตย์ ต้นไม้ขนาดใหญ่ที่บริเวณศาลเจ้าพ่อตอมาตย์ ในปัจจุบันสะเก็ดไม้ลอยมาทับทมกันสูงเป็นเนินเขา จึงเรียกว่าดอยสะเก็ด

วัดจอมศรี (ดอยสะเก็ด)












ผีตาโม่
ผีตาโม่ เป็นภูมิปัญญาของไทหล่มที่อยู่ตามชนบทสมัยก่อน ซึ่งจะนำมาใช้ขู่หรือหลอกเด็ก ๆ ที่ดื้อ ซน หรือร้องไห้ ผู้ใหญ่มักจะข่มขู่ว่า "เดี๋ยวผีตาโม่จะมากินตับ กินไส้" พร้อมทั้งแสดงกริยาท่าทางให้น่ากลัว ตื่นเต้น เด็กจะหยุดทันที ทั้งที่ไม่รู้ว่าผีตาโม่มีรูปร่างลักษณะอย่างไร แต่วิธีการนี้ก็ใช้ได้ผลมาตลอด จากพฤติกรรมต่าง ๆ ที่แสดงหลอกเด็ก พอจะจินตนาการตามและนำมาสร้างเป็นหน้ากากและหุ่นจำลองได้ว่า ผีตาโม่น่าจะมีลักษณะที่น่ากลัว ตาโตแดงกล่ำ ปากกว้างเป็นกระด้ง ฟันแหลมขาว ลิ้นยาวห้อยลงมาคล้ายผีเปรต จมูกกลมใหญ่เป็นกระบวยตักน้ำ หูยาวคล้ายเขาควายมีตุ้มหูห้อย 2 ข้าง ดูคล้ายกระชอนปลาร้า ใส่ชุดดำโดยมีผ้าริ้วเป็นเส้น ๆ ประดับทั่วร่างกาย มือเท้าใหญ่ บางทีก็ถืออาวุธ บางทีก็มีพุงโตใหญ่อุ้ยอ้าย แล้วแต่จินตนาการของผู้จัดทำแต่ละคน ผีตาโม่ชอบกินตับไตไส้พุงของมนุษย์เป็นอาหาร โดยเฉพาะเด็กๆ ขี้อ้อนเอาแต่ใจ ไม่ยอมกินข้าว ไม่ยอมหลับยอมนอน แต่ผีตาโม่ก็ยังมีแนวทางที่จะออกมาอาละวาดอยู่บ้าง คือ ถ้าไม่มีใครเรียกร้องก็จะไม่มา .. ผีตาโม่นี้ คนทางเมืองเพชรบูรณ์ จะออกเสียงว่า ผีตาโหม่ ตามสำเนียงการพูด เพื่อลดความน่ากลัวของการนำผีมาเป็นการละเล่น ได้มีการใช้ผ้าริ้วเป็นเส้น ๆ หลากสี นำมาเป็นเครื่องแต่งกาย ซึ่งจะมีลักษณะคล้าย ”ทุงพันชิ้น” ของไทหล่มที่นิยมทำขึ้นถวายเป็นพุทธบูชาที่มีอานิสงส์สูงมากเพราะจัดทำได้ยาก จึงอาจเชื่อมโยงเรื่องการถวายตัวเป็นพุทธบูชาของผีตาโม่ด้วยก็ได้ นอกจากผีตาโม่ ก็ยังมีผีอีกหลายชนิดที่มีไว้หลอกเด็ก เช่น ผีอองออย (ผีกองกอย) ผีเผด (ผีเปตร) ผีโพง แต่ไม่ได้มีการนำจินตนาการออกมาคิดเป็นเป็นหุ่นเป็นตัว ๆ อย่างผีตาโม่ มีข้อสังเกตว่า ไทหล่มซึ่งเป็นกลุ่มวัฒนธรรมล้านช้างหลวงพระบางนี้ แม้จะนับถือศาสนาพุทธแต่ก็มีความเชื่อเรื่องผีควบคู่กันไป และได้มีการสร้างหุ่นหรือหน้ากากจำลองผีขึ้นมา คล้าย ๆ กัน คือ หลวงพระบางมีปู่เยอ ย่าเยอ ปากลายและไซยะบูลี มีผีโขนและหมอยา ที่ด่านซ้ายมีผีตาโขน และที่หล่มเก่า ก็มีผีตาโม่ ผีตาโม่เกิดเป็นตัวตนมีเป็นหุ่น ชุดแต่งกายและการแสดงขึ้นมาเป็นครั้งแรกโดยท่านอาจารย์ประทุม ชัยโฉม แห่งหล่มเก่า

ผีตาโม่


info_outline วิสัยทัศน์
วิสัยทัศน์หน่วยงาน


insert_drive_file ข้อมูลหน่วยงาน
ข้อมูลทั่วไป
"องค์การบริหารส่วนตำบลวังบาล" ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2539 ตามประกาศของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ลงวันที่ 25 ธันวาคม 2539 และใช้เป็นศูนย์กลางการพัฒนาในเขตตำบลวังบาล เบอร์ติดต่อ โทร. 056-747523 แฟกช์ 056-747532 ที่ตั้งและอาณาเขต ตำบลวังบาลเป็นตำบล 1 ใน 9 ตำบลของอำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของอำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ห่างจากที่ว่าการอำเภอหล่มเก่า ประมาณ 4 กิโลเมตร โดยมีอาณาเขตดังนี้ ทิศเหนือ ติดต่อกับ ตำบลหินฮาว อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ทิศใต้ ติดต่อกับ ตำบลบ้านเนิน อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ทิศตะวันออก ติดต่อกับ ตำบลหล่มเก่า อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ทิศตะวันตก ติดต่อกับ ตำบลหมากแข้ง อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย การจัดตั้งหมู่บ้านมักจะรวมตัวกันตั้งบ้านเรือนกันเป็นหย่อม เป็นหมู่บ้าน ซึ่งมีทั้งหมด 17 หมู่บ้าน แต่ละหมู่บ้านจะตั้งอยู่ตามถนน หนทาง ตามหนองน้ำ ตามลำห้วยที่มีอยู่เดิม มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 103.81 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 64,441 ไร่ ลักษณะภูมิประเทศ ลักษณะภูมิประเทศของตำบลวังบาล ทางทิศตะวันออกของตำบลวังบาล เป็นภูเขาสูงสลับซับซ้อน ทอดเป็นทิวยาว ลักษณะพื้นที่จะลาดเอียงจากทางด้านทิศเหนือลงมาทางทิศใต้ และมีลำห้วยวังบาลไหลผ่านทางตอนกลางของตำบล สภาพภูมิอากาศ มี 3 ฤดู คือ ฤดูฝน จากเดือน พฤษภาคม ถึง ตุลาคม ฤดูหนาว จากเดือน พฤศจิกายน ถึง มกรคม ฤดูร้อน จากเดือน กุมภาพันธ์ ถึง เมษายน คำขวัญตำบลวังบาล ทับเบิกสูงเสียดฟ้า ยอดภูผาเทียมเมฆ เพชรน้ำเอกถิ่นวังบาล มะขามหวานนามละบือ เรืองชื่อเจ้าตอมาตย์ วาดวิจิตรโบสถ์นาทราย สายศรัทธาธาตุปู่เถร ความร่มเย็นตลอดกาล

บ้านภูปูน
บ้านภูปูน ตั้งอยู่หมู่ที่ 1 ตำบลวังบาล อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ประวัติความเป็นมา บ้านภูปูน เป็นหมู่บ้านที่เกิดขึ้นประมาณ 100 ปีเศษ มีตำนานเล่าว่า เดิมบริเวณนี้เป็นป่าอยู่ใกล้เชิงเขา ชาวบ้านนาทราย ประมาณ 4-5 ครอบครัว ได้มาถางป่าเพื่อทำไร่ ชาวบ้านจุดไฟเผากิ่งไม้แห้งที่ถางไว้ ไฟไหม้ลุกลามเป็นบริเวณกว้างจนถึงหินก้อนหนึ่ง ชาวบ้านเกรงว่าไฟจะลุกลามไปมากกว่าที่ถางไว้ จึงได้ตักน้ำไปดับไฟ เมื่อก้อนหินเย็นลงชาวบ้านได้จับและคุ้ยเขี่ยก้อนหินดู ปรากฏว่าหินก้อนนั้นแตกเป็นผง มีลักษณะคล้ายปูน จึงเรียกบริเวณนี้ว่า “บ้านไร่ภูปูน” ต่อมา มีผู้คนอพยพเข้ามาอาศัยอยู่รวมกันมากขึ้น จึงได้ตั้งหมู่บ้านขึ้น และชื่อว่า “บ้านภูปูน” สภาพภูมิศาสตร์และการคมนาคม สภาพทั่วไปของบ้านภูปูนเป็นที่ราบเชิงเขา มีอาณาเขตติดต่อดังนี้ ทิศเหนือ ติดต่อกับ บ้านวังบาล ทิศใต้ ติดต่อกับ บ้านพร้าว และบ้านเนิน ทิศตะวันออก ติดต่อกับ บ้านนาทราย และบ้านโจะโหวะ ทิศตะวันตก ติดต่อกับ บ้านเหมืองแบ่ง ตำบลวังบาล การคมนาคม อยู่ห่างจากอำเภอหล่มเก่า ระยะทาง 9 กิโลเมตร มีทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 2372 ผ่านหมู่บ้าน มีรถสามล้อเครื่อง (ชาวบ้านเรียก รถตุ๊กตุ๊ก) วิ่งรับส่งผู้โดยสารระหว่างหมู่บ้านและอำเภอหล่มเก่า ประชากร มีประชากรทั้งหมด 364 คน ชาย 188 คน หญิง 176 คน จำนวน 114 ครัวเรือน อาชีพ ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพด้านการเกษตร และมีบางส่วนที่รับจ้างทั่วไป มีพื้นที่ทำนาประมาณ 225 ไร่ พืชเศรษฐกิจที่สำคัญ คือ ข้าวเหนียว ยาสูบ มะขาม ศาสนา วัฒนธรรม และประเพณี ชาวบ้านนับถือศาสนาพุทธ นิยมไปทำบุญที่วัดในเทศกาลวันสำคัญทางศาสนา เช่น การทำบุญตักบาตรในวันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันเข้าพรรษา และวันออกพรรษา เป็นต้น ประเพณีท้องถิ่นที่ชาวบ้านปฏิบัติสืบทอดกันมา คือ ประเพณีสรงน้ำถ้ำ (มีถ้ำอยู่ทางทิศตะวันตกของหมู่บ้าน ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 2 กิโลเมตร ภายในถ้ำมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ 2 องค์) ชาวบ้านมีความเชื่อว่า เจ้าถ้ำเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้าน ซึ่งชาวบ้านจะต้องนับถือเคารพบูชา ใครจะลบหลู่ไม่ได้ พอถึงขวบปี (รอบปี) ชาวบ้านจะจัดงานบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ (เจ้าถ้ำ) โดยการนำของคนทรงเจ้าจะนำขบวนแห่บั้งไฟ มาสรงน้ำและจุดบั้งไฟถวาย เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว การแต่งกาย ปัจจุบันแต่งตามสมัยนิยม ภาษา ใช้ภาษาพื้นบ้าน สำเนียงพูดคล้ายชาวลาวเวียงจันทร์ ภูมิปัญญาท้องถิ่น ชาวบ้านนิยมนำไม้ไผ่มาจักสานเป็นภาชนะที่ใช้ในครัวเรือน เช่น หวด กระติบข้าว กระด้ง ผู้มีความชำนาญด้านนี้ คือ นายเทศ ระลึก , นายฮั่ง ศรีเศียร , นายสมัคร ทองขาว นายหนู วันแสนซื่อ , นายเรศ ระลึก การทำไม้กวาดดอกหญ้า ผู้มีความชำนาญด้านนี้คือ นายเรศ ระลึก , นางเพ็ญ ดวงอุปปะ การทำบั้งไฟ ผู้มีความชำนาญด้านนี้ คือ นายหนู วันแสนซื่อ, นายสมัคร ทองขาว ,นายเลื่อน จำปาศักดิ์ และนายแสวง สายบุญเกิด สถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจ บ้านภูปูน มีสถานที่ท่องเที่ยว คือ ถ้ำภูปูน น้ำตกตาดภูปูน และทิวทัศน์บนภูปูน

บ้านภูปูน






บ้านนาทราย
บ้านนาทราย ตั้งอยู่หมู่ที่ 2 และ หมู่ที่ 3 ตำบลวังบาล อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ประวัติความเป็นมา จากการบอกเล่าของคุณยายบุรี กระทู้ บ้านนาทรายตั้งขึ้นประมาณ 300-400 ปี มาแล้ว พื้นเพของคนบ้านนาทรายเป็นคน เวียงจันทร์และคนหลวงพระบาง ซึ่งได้อพยพมาสร้างบ้านเรือนอยู่ ณ ที่แห่งนี้ เพราะว่าบริเวณนี้เป็นแหล่งที่อุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การทำมาหากิน คำว่า “นาทราย” มาจากสภาพพื้นที่นาของบริเวณหมู่บ้านนี้เป็นดินทราย จึงได้ชื่อว่า “บ้านนาทราย” สภาพภูมิศาสตร์และการคมนาคม สภาพทั่วไปของหมู่บ้านนาทรายเป็นที่ราบ มีอาณาเขตติดต่อดังนี้ ทิศเหนือ ติดต่อกับ บ้านน้ำครั่ง ทิศใต้ ติดต่อกับ บ้านโจะโหวะ ตำบลบ้านเนิน ทิศตะวันออก ติดต่อกับ บ้านวัดทุ่งธงไชย ตำบลหล่มเก่า ทิศตะวันตก ติดต่อกับ บ้านภูปูน การคมนาคม มีถนนลาดยางผ่านกลางหมู่บ้าน ระยะทางจากอำเภอหล่มเก่าถึงบ้านนาทราย 4 กิโลเมตร มีรถสามล้อเครื่องวิ่งโดยสารตลอดทั้งวัน ประชากร หมู่ที่ 2 มีประชากร 531 คน ชาย 240 คน หญิง 291 คน จำนวน 152 ครัวเรือน หมู่ที่ 3 มีประชากร 528 คน ชาย 246 คน หญิง 281 คน จำนวน 175 ครัวเรือน อาชีพ ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพด้านการเกษตร พืชเศรษฐกิจที่สำคัญ คือ ข้าว ข้าวโพด ถั่วเหลือง และมะขาม ศาสนาวัฒนธรรมและประเพณี ประชาชนนับถือศาสนาพุทธ นิยมไปทำบุญที่วัดในเทศกาลวันสำคัญทางศาสนา มีค่านิยมปฏิบัติตามผู้นำหมู่บ้าน เป็นแกนนำในการดำเนินงานต่าง ๆ เช่น ผู้ใหญ่บ้าน เจ้าอาวาส ผู้อาวุโส ประเพณีที่ถือปฏิบัติติดต่อกันมาช้านาน คือ ประเพณีบุญบั้งไฟ การแห่นางแมว ประเพณีการกวนข้าวทิพย์ การบวชนาค การแต่งงาน ประเพณีสงกรานต์ (ซึ่งจะมีการสรงน้ำพระ รดน้ำดำหัวผู้สูงอายุเพื่อขอพร มีการเล่นสาดน้ำและการละเล่นพื้นบ้าน เช่น การคัดสะบ้า ตี่จับ งูกินหาง ต่อไก่ ขว้างเอาลูก ตีตูม แย่งไข่) การละเล่นพื้นบ้าน ชาวบ้านนาทรายสมัยก่อนมีการเล่นแมงตับเต่า เป็นการแสดงลักษณะคล้ายลิเก แต่ใช้ตัวแสดงเป็นผู้ชายล้วนแสดงเป็นเรื่องราว บทร้องที่ใช้เป็นบทกลอนสละสลวยและสนุกสนานมาก ภาษา ประชาชนพูดภาษาพื้นบ้าน (ภาษาหล่ม) ภูมิปัญญาท้องถิ่น การทำผลิตภัณฑ์จากมะขาม เช่น มะขามคลุก มะขามแก้ว มะขามแช่อิ่ม ผู้ที่มีความสามารถด้านนี้ คือ นางประพิศ ท่อนแก้ว อาจารย์ 2 โรงเรียนหล่มเก่าพิทยาคม สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ วัดศรีมงคลบ้านนาทราย เดิมชื่อวัดทรายงาม มีพระประธานเป็นพระพุทธรูปปางสะดุ้งมารสวยงามมากชาวบ้านเรียกว่า “ทรงเอวชัน” เกศของพระพุทธรูป เป็นรูปเปลวไฟ ภาพจิตรกรรมฝาผนัง ในพระอุโบสถ (สิม)ของวัดศรีมงคล มีภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังอายุประมาณ 180 ปี ผู้เขียนชื่อ นายแดง ไม่ทราบว่ามาจากไหน ท่านเป็นโรคคุดทะราด พวกชาวบ้านเรียกท่านว่า “ตาขี้ทูด” ค่าจ้างช่างที่เขียนภาพเป็นเงิน 1 ชั่ง 4 ตำลึง ใช้เวลาเขียนประมาณ 4 ปี ลักษณะของภาพเป็นภาพเขียนที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยในสมัยนั้น สีสันสวยงาม ใช้สีฝุ่นผสมกาวยางไม้ สีเปลือกไม้ และสีดินระบายภาพ ตัดเส้นแบบแบนเขียนภาพบนฝาผนังปูน (ปางมารสะดุ้ง) ปู่ใจ นันทะเป็นผู้แกะสลัก และรูปพุทธประวัติเล่าถึงเรื่องพระเจ้าสิบชาติ นรก สวรรค์ ตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จโปรดพระราชมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และภาพพระพุทธเจ้าโปรดปัญจวัคคีย์ทั้ง 4 ปัจจุบันกรมศิลปากรขึ้นทะเบียนไว้เป็นมรดกของชาติ

บ้านนาทราย








บ้านน้ำครั่ง
บ้านน้ำครั่ง ตั้งอยู่หมู่ที่ 4 และ หมู่ที่ 5 ตำบลวังบาล อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ประวัติความเป็นมา เดิมบ้านน้ำครั่งมีเพียงหมู่บ้านเดียว คือ หมู่ที่ 4 มีนายผอง คำเครือ เป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรก (เสียชีวิตแล้ว) คนสมัยก่อนตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้แม่น้ำลำคลอง เพื่อจะได้ใช้น้ำอุปโภคบริโภค รวมไปถึงการเลี้ยงสัตว์ด้วย คลองบ้านน้ำครั่งนั้นมีต้นฉำฉาขึ้นอยู่มากมาย เมื่อว่างจากการทำไร่ทำนา ชาวบ้านก็นิยมเลี้ยงครั่งเป็นอาชีพเสริม เมื่อฝนตกน้ำฝนก็จะชะล้างเอาดินทรายปนครั่งลงในแม่น้ำลำคลอง ทำให้น้ำที่ไหลมาตามลำคลองเป็นสีแดงเหมืองครั่ง ก็เลยเรียกชื่อบ้านว่า “บ้านน้ำครั่ง” สภาพภูมิศาสตร์และการคมนาคม สภาพทั่วไปของบ้านน้ำครั่งเป็นที่ราบใกล้แม่น้ำ มีอาณาเขตติดต่อดังนี้ ทิศเหนือ ติดต่อกับ บ้านหนองไผ่ ทิศใต้ ติดต่อกับ บ้านนาทราย และบ้านวังบาล ทิศตะวันออก ติดต่อกับ บ้านหินกลิ้ง และแม่น้ำพุง ทิศตะวันตก ติดต่อกับ บ้านน้ำครั่งน้อย ประชากร หมู่ที่ 4 มีประชากร 641 คน ชาย 277 คน หญิง 277 คน 199 ครัวเรือน หมู่ที่ 5 มีประชากร 377 คน ชาย 185 คน หญิง 195 คน 134 ครัวเรือน อาชีพ ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพการเกษตร ได้แก่ ทำนา ทำไร่ บางส่วนค้าขายและรับจ้างทั่วไป พืชเศรษฐกิจ คือ ข้าว ยาสูบ ถั่วเขียว และมะขาม ศาสนา วัฒนธรรม และประเพณี ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 85 พรรษา และนับถือศาสนาคริสต์ ร้อยละ 15 นิยมทำบุญตักบาตรในเทศกาลวันสำคัญต่าง ๆ เช่น วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันเข้าพรรษา และวันออกพรรษา ประเพณีที่นิยมทำกันมาช้านาน ได้แก่ ทำบุญข้าวเปลือก ก่อพระเจดีย์ทรายในวันสงกรานต์ บุญเทศน์มหาชาติในเดือนสาม กวนข้าวทิพย์ในวันออกพรรษา การแต่งกายเดิมใส่เสื้อหม้อฮ่อม ปัจจุบันแต่งกาย สมัยนิยม ประชาชนพูดภาษาพื้นเมืองมีสำเนียงคล้ายภาษาลาวหลวงพระบาง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของชาวบ้านน้ำครั่ง การละเล่นพื้นบ้าน นิยมเล่นสะบ้า โยนสะบ้าใส่สตางค์ แม่นางกวัก และแมงตับเต่า ภูมิปัญญาท้องถิ่น นายสิน ทองยิ่ง เป็นผู้มีความรู้ ความสามารถในการฉลุกระดาษเป็นลวดลาย เพื่อใช้ติดโลงศพ ทำเป็นอุตสาหกรรมในครอบครัว การทำมะขามแช่อิ่ม ผู้ที่มีความสามารถด้านนี้ คือ นางพยอม กันแต่ง สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ วัดโพธิ์ทองบ้านน้ำครั่ง มีศาลาเปรียญเก่าแก่ ซึ่งเสาเป็นต้นไม้กลม ๆ ที่ใหญ่มาก (ปัจจุบันหาดูได้ยาก) นอกจากนี้ยังมีอุโบสถเก่าที่ทางวัดได้อนุรักษ์ไว้

บ้านน้ำครั่ง







บ้านหนองไผ่
บ้านหนองไผ่ ตั้งอยู่หมู่ที่ 6 ตำบลวังบาล อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ประวัติความเป็นมา เดิมบ้านหนองไผ่ มีผู้คนอาศัยอยู่ประมาณ 7- 8 ครอบครัว ขึ้นอยู่กับบ้านน้ำครั่ง ต่อมาชาวบ้านน้ำครั่งพากันอพยพไปอาศัยอยู่ด้วย ทำให้มีจำนวนประชากรมากขึ้น ชาวบ้านจึงได้ขอแยกเป็นหมู่บ้านใหม่ ชื่อว่า “บ้านหนองไผ่” เพราะว่าบริเวณดังกล่าวมีหนองน้ำที่มีป่าไผ่ขึ้นอยู่เป็นจำนวนมาก สภาพภูมิศาสตร์และการคมนาคม สภาพโดยทั่วไปเป็นที่เนินมีต้นไม้มากมาย มีอาณาเขตดังนี้ ทิศเหนือ ติดต่อกับ บ้านหินฮาว ทิศใต้ ติดต่อกับ บ้านน้ำครั่ง ทิศตะวันออก ติดต่อกับ บ้านหนองบัวแก้ว ทิศตะวันตก ติดต่อกับ บ้านขี้นาค การคมนาคมมีถนนคอนกรีดจากบ้านน้ำครั่งไปยังบ้านหนองไผ่ ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตรเศษ ประชากร ประชากรทั้งหมด 206 คน ชาย 101 คน หญิง 105 คน 64 ครัวเรือน อาชีพ ประชาชนส่วนใหญ่ทำไร่ ทำนาบ้าง ปลูกผักสวนครัว และค้าขายมะขามหวาน พืชเศรษฐกิจในหมู่บ้าน ได้แก่ ถั่วเขียว ข้าวโพด และมะขาม ศาสนาวัฒนธรรมและประเพณี ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ประมาณร้อยละ 95 นิยมทำบุญที่วัดธรรมวิเวก อีกร้อยละ 5 นับถือศาสนาคริสต์ ประเพณีที่ปฏิบัติ คือ นิยมทำบุญในวันสำคัญทางศาสนา เช่น วันเข้าพรรษา วันออกพรรษา วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา เป็นต้น การแต่งกาย ชาวบ้านแต่งตามสมัยนิยม ภาษา ชาวบ้านพูดภาษาพื้นบ้าน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของบ้านน้ำครั่ง และการละเล่นพื้นบ้าน นิยมเล่นสะบ้า โยนสะบ้าใส่สตางค์

บ้านหนองไผ่






บ้านน้ำครั่งน้อย
บ้านน้ำครั่งน้อย ตั้งอยู่หมู่ที่ 7 ตำบลวังบาล อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ประวัติความเป็นมา การตั้งถิ่นฐานครั้งแรกจะมีบ้านเรือนเก่าแก่อยู่ประมาณ 6 - 7 หลังคาเรือน บริเวณนั้นติดกับคลองน้ำครั่ง เหมาะสำหรับตั้งบ้านเรือนอยู่อย่างมาก ประชากรของบ้านน้ำครั่ง เมื่อแต่งงานแล้วก็แยกออกไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่นั่นมากมาย จนกระทั่งมีจำนวนประชากรพอที่จะจัดตั้งเป็นหมู่บ้านได้ จึงได้ขอแยกหมู่บ้านเป็น “บ้านน้ำครั่งน้อย” มีนายเคลื่อน โถเมือง เป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรก สภาพภูมิศาสตร์และการคมนาคม สภาพทั่วไปของหมู่บ้าน มีลักษณะเป็นที่ราบใกล้คลองน้ำครั่ง มีอาณาเขตติดต่อดังนี้ ทิศเหนือ ติดต่อกับ บ้านขี้นาค ทิศใต้ ติดต่อกับ บ้านวังบาล ทิศตะวันออก ติดต่อกับ บ้านน้ำครั่ง ทิศตะวันตก ติดต่อกับ ป่าและทุ่งนา การคมนาคมมีถนนลาดยางจากบ้านน้ำครั่งถึงบ้านน้ำครั่งน้อย ระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร ประชากร มีประชากร 273 คน ชาย 145 คน หญิง 128 คน 77 ครัวเรือน อาชีพ ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพด้านการเกษตร ทำนา ทำไร่ และค้าขาย พืชเศรษฐกิจในหมู่บ้าน ได้แก่ ข้าว ใบยาสูบ ถั่วเขียว ข้าวโพด และมะขาม ศาสนา วัฒนธรรม และประเพณี ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 80 นับถือศาสนาคริสต์ ร้อยละ 20 ประชาชนนิยมทำบุญในเทศกาลวันสำคัญต่าง ๆ ทางศาสนา การแต่งกายประชาชนบ้านน้ำครั่งน้อย แต่งตามสมัยนิยม ประชาชนพูดภาษาพื้นบ้าน ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของบ้านน้ำครั่ง

บ้านน้ำครั่งน้อย






บ้านวังบาล
บ้านวังบาล ตั้งอยู่หมู่ที่ 8 9 10 และหมู่ที่ 15 ตำบลวังบาล อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ประวัติความเป็นมา ตามหลักฐานสมุดข่อยวัดบ้านโตก ซึ่งพระอธิการ จำปา ฐิตธัมโม เจ้าอาวาสวัดหินกลิ้งได้แปลเป็นภาษาไทย ทางวัดศรีฐานได้นำมาเขียนประวัติวัดศรีฐาน ได้บันทึกว่าประชาชนได้อพยพมาจากล้านช้างหลวงพระบาง น้ำลี่แสนศรี (แสนหวี) โดยการนำของขุนวังบังบาล สองพี่น้องและได้มาสร้างบ้านแปงเมืองที่ศรีฐานวังบาล คือหมู่บ้านวังบาลในปัจจุบัน คำว่าวังบาล มาจากคำว่าวังบ่าน (บ่านเป็นภาษาพื้นบ้านแปลว่า บิ่น พัง ชำรุด เช่น ขวานบ่าน หมายถึง ขวานชำรุด) “วังบ่าน” ในที่นี้หมายถึง การพังทะลายของวังน้ำ ของห้วยวังบาล หรืออีกนัยหนึ่ง วังบาน หมายถึง วังน้ำในห้วยวังบาลเกิดการกัดเซาะของน้ำ ทำให้เป็นวังน้ำกว้างขึ้น ต่อมา “วังบาน” จึงได้เปลี่ยนเป็น “วังบาล” สภาพภูมิศาสตร์และการคมนาคม บ้านวังบาล มีสภาพทั่วไปเป็นที่ราบ มีอาณาเขตติดต่อดังนี้ ทิศเหนือ ติดต่อกับ บ้านน้ำครั่ง ทิศใต้ ติดต่อกับ บ้านโจะโหวะ และบ้านภูปูน ทิศตะวันออก ติดต่อกับ บ้านนาทราย ทิศตะวันตก ติดต่อกับ บ้านเหมืองแบ่ง การคมนาคม บ้านวังบาลมีทางหลวงหมายเลข 2005 ผ่านกลางหมู่บ้านและมีเส้นทางซึ่งเป็นถนนลาดยางติดต่อกับหมู่บ้านอื่น เดินทางได้สะดวกตลอดปี ประชากร หมู่ที่ 8 มีประชากร 527 คน ชาย 228 คน หญิง 299 คน 183 ครัวเรือน หมู่ที่ 9 มีประชากร 736 คน ชาย 344 คน หญิง 392 คน 261 ครัวเรือน หมู่ที่ 10 มีประชากร 912 คน ชาย 425 คน หญิง 487 คน 316 ครัวเรือน หมู่ที่ 15 มีประชากร 434 คน ชาย 216 คน หญิง 218 คน 146 ครัวเรือน อาชีพ ประชากรส่วนใหญ่มีอาชีพ ทำการเกษตร รับจ้าง และรับราชการ พืชเศรษฐกิจ คือ ข้าว ข้าวโพด มะขามหวาน ผัก และยาสูบ ศาสนา วัฒนธรรม และประเพณี ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ และมีบางส่วนที่นับถือศาสนาคริสต์ ประเพณีที่ปฏิบัติภายในหมู่บ้าน คือ การทำบุญตักบาตร การเวียนเทียน ในเทศกาลวันสำคัญทางศาสนา ประเพณีสงกรานต์ การเลี้ยงผีตาแฮก (เป็นการเซ่นไหว้ผีที่นา เพื่อเป็นการขอบคุณที่ทำให้ได้เก็บผลผลิต จะทำหลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว)ประเพณีเลี้ยงปี ประเพณีบุญบั้งไฟ การแต่งกาย หญิงสูงอายุจะใส่ผ้าซิ่นหมี่ ซึ่งมีหลายลาย เช่น หมี่ข้อ หมี่วง สวมเสื้อคอกลม ผ่าอก มีทั้งแขนสั้นและแขนยาว การละเล่นพื้นบ้านที่นิยมติดต่อกันมาช้านาน คือ การเล่นแมงตับเต่า เป็นการแสดงศิลป วัฒนธรรมพื้นบ้านของชาวตำบลวังบาลชนิดหนึ่ง ผู้แสดงเป็นคนภายในหมู่บ้าน คณะแสดงรุ่นสุดท้าย คือ คณะของนายสิริ สายจันเจียม (ประมาณ พ.ศ. 2503 - 2505) เรื่องที่แสดงเป็นเรื่องนิทานชาดก และวรรณคดี เช่นเรื่อง สังข์ศิลป์ไชย เงาะป่า นางยอพระกลิ่น ฯลฯ การเล่นแม่นางด้ง แม่นางกวัก การเล่นไข่เด่า การเล่นหมากข้าวจ้ำ ภูมิปัญญาท้องถิ่น การทอผ้าไหม ส่วนมากจะเป็นผ้าถุง สายหมี่ข้อ หมี่วง ผู้มีความสามารถด้านนี้ คือ นางรัก สายคำมี การทอผ้าด้าย ผู้มีความสามารถด้านนี้คือ นางก้านก่อง สายจันยูร ,นางเสวือง กุลทอง การจักสาน ผู้มีความสามารถด้านนี้ คือ นายเล็บ วงกลม สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ วัดจอมศรี (ดอยสะเก็ด) เป็นวัดที่ตั้งอยู่เนินมีทิวทัศน์สวยงาม ครูบาเสมอ เป็นผู้ริเริ่ม ก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2505 จุดเด่นที่สำคัญของวัด มีเจดีย์ทรงระฆังคว่ำขีขาวองค์ใหญ่ และหอระฆังไม้เสาเดียว ศาลเจ้าพ่อตอมาตย์ เป็นสถานที่ที่ชาวบ้านสักการะบูชา ตามประวัติต้นมาด(ต้นตะเคียน) เป็นต้นไม้ที่สูงใหญ่ ในช่วงนั้นพระเจ้าแผ่นดินต้องการต้นไม้ไปขุดทำเรือ จึงประกาศไปตามหัวเมืองต่าง ๆ ให้หาไม้ตะเคียนมาทำเรือพระที่นั่ง กรรมการเมืองประกอบด้วย ขุนจก เป็นหัวหน้า ขุนศรี ขุนไชย ขุนไกร ขุนเดช ขุนรักษ์ ขุนลู ขุนพัด ฯลฯ ซึ่งได้มาพบไม้มาดที่บ้านวังบาล ได้ทำพิธีโค่นต้นไม้ ใช้เวลาโค่นหนึ่งเดือนเศษไม้จึงล้ม และได้จัดพิธีขอขมาผีสางนางไม้โดยนิมนต์พระ 100 รูป ให้ฉันอาหาร 100 สำรับ บาตอไม้มาดที่โค่นลง แล้วดำเนินการถากไม้ให้เป็นรูปเรือ สะเก็ดของไม้ได้นำไปกองห่างจากตอไม้มาดประมาณ 1 กิโลเมตร กองสูงถึง 30 เมตร วงกลมโดยรอบ 1,000 เมตร ปัจจุบันเป็นเนินเขาเล็ก ๆ เรียกว่า “ดอยสะเก็ด” ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดดอยสะเก็ดในปัจจุบัน เจดีย์วัดโพธิ์ (เจดีย์ปู่เถร) เป็นเจดีย์เก่าแก่ประจำหมู่บ้าน เป็นศิลปลาวผสมศิลปเชียงแสนปรากฏปีที่สร้าง ตั้งอยู่ในบริเวณโรงเรียนบ้านวังบาลทางทิศเหนือ ชาวบ้านเชื่อว่ามี “ปู่เถร” เป็นผู้ให้ความคุ้มครองรักษา ชาวบ้านมีความเชื่อว่า เมื่อมีเด็กร้องไห้ไม่หยุด แสดงว่าปู่เถรไปหา พ่อแม่ของเด็กจะต้องเอาคำหมาก พาหวาน บุหรี่ มาถวายเด็กจึงจะหยุดร้องไห้ วัดศรีฐานปิยาราม สร้างเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2225 เป็นวัดที่เก่าแก่สร้างมานาน โดยมีหลวงพ่อวัดศรีฐานเป็นผู้นำจัดสร้างวัดจึงได้มีนามว่า วัดศรีฐาน แต่ชาวบ้าน นิยมเรียกว่าวัดวังบาล ตามชื่อ หมู่บ้าน อุโบสถก็ได้ จัดสร้างขึ้นใหม่แทนหลังเก่านับเป็นวัดที่ได้รับวิสุงคามสิมานับตั้งแต่ในราว พ.ศ. 2225 และยังมีศูนย์วัฒธรรมเฉลิมราช วัดศรีฐานปิยารามตำบลวังบาล ซึ่งเป็นโรงเรียนผู้สูงวัย ที่ทุกสัปดาห์จะมารวมตัวกันทำกิจกรรต่างๆ เช่น การทอผ้าพื้นเมือง ปลูกพืชสมุนไพร ยังเป็นพิพิทธภัณฑ์รวมรวมของเก่า ที่เกี่ยวข้องกับการทอผ้า เช่น ฟืมไม้ เตารีถ่าน กระสวย ฯลฯ

บ้านวังบาล











บ้านเหมืองแบ่ง
บ้านเหมืองแบ่ง ตั้งอยู่หมู่ที่ 11 ตำบลวังบาล อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ประวัติความเป็นมา บ้านเหมืองแบ่ง เดิมชาวบ้านเรียกว่า“บ้านไท” ราษฎรอพยพมาจากบ้านวังบาล และอำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก เนื่องจากทำเล ที่ตั้งบ้านเหมืองแบ่ง มีความอุดมสมบูรณ์ เป็นที่ราบเชิงเขา ผู้นำราษฎรมาบุกเบิกคนแรก คือ ปู่ยกกระบัตร ต่อมาเมื่อมีราษฎรอพยพมาเพิ่มมากขึ้น ได้มีการขุดเหมือง (คลองส่งน้ำ) เพื่อแบ่งน้ำทำการเกษตร จึงได้เรียกชื่อหมู่บ้านนี้ว่า “บ้านเหมืองแบ่ง” สภาพภูมิศาสตร์และการคมนาคม สภาพทั่วไปเป็นที่ราบเชิงเขา อยู่ทางทิศตะวันตกของอำเภอหล่มเก่า มีอาณาเขตติดต่อดังนี้ ทิศเหนือ ติดต่อกับ บ้านขี้นาค ทิศใต้ ติดต่อกับ บ้านภูปูน ทิศตะวันออก ติดต่อกับ บ้านวังบาล ทิศตะวันตก ติดต่อกับ บ้านทับเบิก การคมนาคม บ้านเหมืองแบ่งอยู่ห่างจากอำเภอหล่มเก่าประมาณ 8 กิโลเมตร มีถนนลาดยางตัดผ่าน การเดินทางไปมาได้สะดวกตลอดทั้งปี มีรถสามล้อเครื่องรับจ้างวิ่งผ่านตลอดเวลา ประชากร มีประชากร 1,049 คน ชาย 484 คน หญิง 565 คน 313 ครัวเรือน อาชีพ ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำการเกษตร ได้แก่ การทำนา ทำไร่ ปลูกยาสูบและพืชผักต่าง ๆ และทำสวนมะขาม ศาสนา วัฒนธรรม และประเพณี ประชาชนนับถือศาสนาพุทธ นิยมทำบุญในเทศกาลวันสำคัญต่าง ๆ ประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาช้านาน คือ การแห่เทียนพรรษา บุญพระเวส การแต่งกายแต่งตามสมัยนิยม ชาวบ้านเหมืองแบ่งพูดภาษาท้องถิ่นที่เรียกว่า “ลาวหล่ม” ภูมิปัญญาท้องถิ่น การจักสานไม้ไผ่ทำเป็นของใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น กระด้ง กระบุ กระจาด กระติบข้าว เป็นต้น สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ น้ำตกวังฮาง (น้ำตกเหมืองแบ่ง) เป็นน้ำตกเล็ก ๆ ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 2 กิโลเมตร อ่างเก็บน้ำวังภูหนีบ สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นแหล่งน้ำสำหรับการเพาะปลูก และบรรเทาอุทกภัย และเป็นแหล่งเพาะพันธืปลาน้ำจืด ฟื้นฟูระบบนิเวช และเป็นแหล่งท่องเที่ยว วัดโพนทองผาเมือง ชื่อของวัดโพนทองมีที่มาจากจอมปลวกขึ้นมาสูงเป็นโพนและมีไม้ตะเคียนทองใหญ่ขึ้นอยู่ในบริเวณวัด มีอุโบสถศาลากลางเปรียญ กุฎิสงฆ์จำนวน 2 หลัง มีโบสถ์ที่สร้างด้วยความสวยงาม ละเอียดอ่อนและมีวัถุมงคลของโบราณ เป็นที่ยึดเหนียวจิตใจของชาวบ้าน มีรูปั้น ราหูอมจันทร์ นางกวัก นางธรณี และมีพระธาตุศรีมิ่งเมือง ได้จัดงานฉลองสมโภชน์พระธาตุ เมื่อ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2566 ลานปล่อยตัวกระโดดร่ม(ร่อน)พารามอเตอร์ ซึ่งมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ นิยมมาเล่นกันจำนวนมาก ชมต้นสะพุงใหญ่ ป่าดอกดีกั้ง สวนนกยูง

บ้านเหมืองแบ่ง











บ้านขี้นาค
บ้านขี้นาค ตั้งอยู่หมู่ที่ 12 ตำบลวังบาล อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ประวัติความเป็นมา บ้านขี้นาค มีห้วยน้ำครั่ง ซึ่งเป็นลำน้ำขนาดเล็ก ไหลจากภูเขาผ่านหมู่บ้านเป็นเส้นทางคดเคี้ยวตามร่องหิน ดูคล้ายงูตัวใหญ่เลื้อยไปมา หมู่บ้านซึ่งตั้งอยู่บนสองฝั่งของลำน้ำดูแล้วเสมือนหนึ่งว่าหมู่บ้านขึ้นอยู่บนหลังของงูใหญ่ (ชาวบ้านเรียกว่า นาค) ชาวบ้านจึงได้ตั้งชื่อหมู่บ้านนี้ว่า “บ้านขี่นาค” ปัจจุบันเพี้ยนมาเป็น “บ้านขี้นาค” จากคำบอกเล่าของชาวบ้าน บ้านขี้นาคตั้งขึ้นเมื่อประมาณ 100 ปีเศษ โดยการอพยพขอชาวบ้านที่อยู่ทางตอนเหนือ (อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย) ซึ่งหนีภัยความแห้งแล้งมาตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณนี้ เนื่องจากทำเลที่จะสามารถทำมาหากินได้ เมื่อมีประชาชนมากขึ้นจึงได้ตั้งเป็นหมู่บ้านมาจนถึงทุกวันนี้ สภาพภูมิศาสตร์และการคมนาคม บ้านขี้นาค มีสภาพเป็นที่ราบเชิงเขา มีอาณาเขตติดต่อดังนี้ ทิศเหนือ ติดต่อกับ บ้านห้วยหอย ทิศใต้ ติดต่อกับ บ้านวังบาล บ้านเหมืองแบ่ง ทิศตะวันตก ติดต่อกับ บ้านน้ำครั่ง ทิศตะวันตก ติดต่อกับ ภูห้วยน้ำครั่ง การคมนาคม บ้านขี้นาคอยู่ห่างจากอำเภอหล่มเก่า 9 กิโลเมตร มีถนนลาดยาง สายแก่งเสี้ยววังบาล ผ่านหมู่บ้านเดินทางสะดวกตลอดปี ประชากร มีประชากร 864 คน ชาย 413 คน หญิง 451 คน จำนวน 271 ครัวเรือน อาชีพ ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพด้านการเกษตร ค้าขาย และรับจ้างทั่วไป พืชเศรษฐกิจที่สำคัญของหมู่บ้าน คือ มะขาม ถั่งเหลือง ข้าว ยาสูบ และพืชผักสวนครัว ศาสนา วัฒนธรรม และประเพณี ประชาชนนับถือศาสนาพุทธ นิยมทำบุญตามประเพณีของชาวพุทธทั่วไป ประเพณีที่นิยมถือปฏิบัติสืบต่อกันมาช้านาน คือ การกวนข้าวทิพย์ ประเพณีข้าวประดับดิน ประเพณีสู่ขวัญกินดอง (การแต่งงาน) การแต่งกาย โดยทั่วไปนิยมแต่งตามสมัยนิยม ภาษา ประชาชนส่วนใหญ่พูดภาษาพื้นบ้าน ภูมิปัญญาท้องถิ่น การสานหวด ผู้ที่มีความสามารถด้านนี้ คือ นายเกิน แก้วดวงดี การไพหญ้าคา ผู้ที่มีความสามารถด้านนี้ คือ นายนง ทองแว่น

บ้านขี้นาค








บ้านห้วยหอย
บ้านห้วยหอย ตั้งอยู่หมู่ที่ 13 ตำบลวังบาล อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ประวัติความเป็นมา บ้านห้วยหอย ตั้งอยู่ริมห้วยซึ่งมีหอยหอมอยู่เป็นจำนวนมาก ชาวบ้านจึงเรียกว่า “บ้านห้วยหอย” ต่อมามีถนน รพช.ตัดผ่านหมู่บ้าน ชาวบ้านที่อยู่บริเวณใกล้เคียงจึงได้อพยพบ้านเรือนมาอยู่ริมถนนจนถึงปัจจุบันนี้ สภาพภูมิศาสตร์และการคมนาคม สภาพทั่วไปของบ้านห้วยหอยเป็นที่ราบ มีอาณาเขตติดต่อดังนี้ ทิศเหนือ ติดต่อกับ บ้านวังหว้า – วังรู ทิศใต้ ติดต่อกับ บ้านขี้นาค ทิศตะวันออก ติดต่อกับ บ้านหนองหญ้าไทร ทิศตะวันตก ติดต่อกับ ภูแผงม้า การคมนาคม มีถนนของกรมโยธาธิการ สายบ้านห้วยหอย – บ้านโนนผักเน่า ผ่านหมู่บ้าน ระยะทางจากอำเภอหล่มเก่า 13 กิโลเมตร ประชากร มีประชากร 528 คน ชาย 248 คน หญิง 280 คน 163 ครัวเรือน อาชีพ ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำการเกษตร และรับจ้างทั่วไป พืชเศรษฐกิจที่สำคัญของหมู่บ้าน คือ ข้าว ข้าวโพด มะขาม และยาสูบ ศาสนา วัฒนธรรม และประเพณี ประชาชนนับถือศาสนาพุทธ นิยมทำบุญตักบาตรในวันสำคัญทางศาสนา ประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันมา คือ การทำบุญแจกข้าว (ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับญาติที่ตายไปแล้ว) ประเพณีสงกรานต์การทำบุญหมู่บ้าน มีภาษาพูดเป็นภาษาท้องถิ่น “ภาษาหล่ม” สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ น้ำตกตาดหมอก และน้ำตกตาดใหญ่ เป็นน้ำตกขนาดเล็ก 2 ชั้น อยู่ห่างจากหมู่บ้าน 2 กิโลเมตร

บ้านห้วยหอย









บ้านทับเบิก
บ้านทับเบิก ตั้งอยู่หมู่ที่ 14 ตำบลวังบาล อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ประวัติความเป็นมา เดิมบ้านทับเบิกมีชื่อว่า “บ้านถ้ำเบิก” เพราะแต่เดิมมีถ้ำที่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นถ้ำศักดิ์สิทธิ์ผู้คนที่มีธุระเดินทางผ่านไปมาละแวกนั้น ต้องไปบอกกล่าวขออนุญาตต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในถ้ำนั้นก่อน เพื่อเป็นการเบิกทาง (ขอผ่านทาง) มิฉะนั้นจะเกิดอันตรายได้ จึงเรียกชื่อถ้ำนี้ว่า “ถ้ำเบิก” ถ้ำแห่งนี้อยู่ห่างจากด่านป่าไม้ตรงทางแยกเข้าหมู่บ้านไปทางทิศตะวันออกประมาณ 1,000 เมตร ปัจจุบันดินได้พังทับถมปากถ้ำหายไปหมดแล้ว ต่อมาจึงเรียกชื่อหมู่บ้าน “บ้านทับเบิก” บ้านทับเบิกตั้งมานานประมาณ 70 - 80 ปี เมื่อปี พ.ศ. 2510 ได้มีบุคคลคณะหนึ่งนำลัทธิคอมมิวนิสต์มาปลุกระดมชวนเชื่อ จนทำให้ชาวบ้านทั้งหมดหลงเชื่ออพยพเข้าป่าจับอาวุธขึ้นต่อสู้กับฝ่ายรัฐบาลเป็นระยะเวลา ประมาณ 16 ปี ชาวบ้านทั้งหมดจึงได้วางอาวุธเข้ามอบตัวเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย และได้กลับมาสร้างบ้านเรือนอาศัยอยู่บริเวณหมู่บ้านเดิม สภาพภูมิศาสตร์และการคมนาคม สภาพทั่วไปของบ้านทับเบิกส่วนใหญ่เป็นภูเขา มีหน้าผาสูงชันหลังหมู่บ้านทิวทัศน์สวยงามมากสามารถมองเห็นตัวเมืองต่าง ๆ คือ หล่มเก่า หล่มสัก น้ำหนาว เขาค้อ เพชรบูรณ์ ในเขตจังหวัดเลย คือ ภูกระดึง ภูหลวง ภูเรือ ภูหอ อากาศหนาวเย็นตลอดปี มีเพียง 2 ฤดู คือ ฤดูหนาวและฤดูฝน ในฤดูฝนจะมีหมอกปกคลุมตลอดวันตลอดคืน บางครั้งจึงเรียกว่า “เมืองในหมอก” มีอาณาเขตติดต่อดังนี้ ทิศเหนือ ติดต่อกับ บ้านหมากแข้ง อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย ทิศใต้ ติดต่อกับ บ้านทับเบิกใหม่ ทิศตะวันออก ติดต่อกับ บ้านเหมืองแบ่ง ทิศตะวันตก ติดต่อกับ อุทยานภูมิร่องกล้า การคมนาคม มีถนนยุทธศาสตร์ลาดยางตลอดสาย – สามแยกบ้านโจะโหวะ – ภูหินร่องกล้า ผ่านหมู่บ้าน ซึ่งเชื่อมต่อถนนคอนกรีตเสริมเหล็กแยกเข้าหมู่บ้านเป็นระยะทาง 6 กิโลเมตร การเดินทางสะดวกตลอดปี บ้านทับเบิกอยู่ห่างจากอำเภอหล่มเก่า ประมาณ ๓๓ กิโลเมตร ประชากร บ้านทับเบิกมีจำนวนประชากรทั้งหมด 1,384 คน ชาย 678 คน หญิง 706 คน ครัวเรือน 355 ครัวเรือน เป็นชาวเขาเผ่าม้งทั้งหมด คำว่า “ม้ง” เป็นคำที่ชาวเขาเผ่าม้งใช้เรียกชื่อเผ่าของตนเอง ถือเป็นคำสุภาพ ส่วนคำว่า “แม้ว” หมายถึง มีความเร็วเหมือนแมวป่า เป็นฉายาที่คนจีนใช้เรียกม้ง เพราะในการสู้รบกันนั้นพวกม้งมีทั้งความฉับไวและเร็วมาก ดังนั้น ถ้าใครเรียกม้งเป็นแม้วชาวม้งจะโกรธมาก เพราะถือว่าเป็นการดูถูกว่า ม้งเป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง อาชีพ ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพการทำไร่ พืชเศรษฐกิจที่สำคัญของหมู่บ้าน คือ กะหล่ำปลี ข้าวโพด ถั่วลันเตา ขิง ลูกท้อ และลิ้นจี่ ศาสนาวัฒนธรรมและประเพณี ประชากรร้อยละ 80 นับถือลัทธิความเชื่อเก่า ๆ ร้อยละ 10 นับถือศาสนาพุทธ และอีกร้อยละ 10 นับถือศาสนาคริสต์ ประชาชนที่นับถือลัทธิความเชื่อเก่า จะประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อในโอกาสต่าง ๆ คือ วันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ การขึ้นบ้านใหม่ เวลาที่มีการเจ็บป่วยก็จะมีวิธีการรักษาแบบดั้งเดิมตามความเชื่อ ประชาชนที่นับถือศาสนาพุทธ จะมีการทำบุญตักบาตรในวันสำคัญทางศาสนา เช่น วันเข้าพรรษา วันออกพรรษา วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา ส่วนประชาชนที่นับถือศาสนาคริสต์ จะเข้าทำพิธีกรรมในโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ ประเพณีที่นิยมและนับถือมาช้านาน คือ ประเพณีปีใหม่ การแต่งงาน สู่ขวัญ การกินข้าวใหม่ การขึ้นบ้านใหม่ การเปลี่ยนชื่อ งานศพ จอปลี (การทำบุญแจกข้าว) การแต่งกาย ผู้ชายใส่กางเกงกุ๊ยขายาว หรือกางเกงโสร่ง มีผ้าสีแดงลายปัก รัดเอว เสื้อแขนยาวมีลายปักรัดแขนเสื้อข้างละสองที่ คือ ต้นแขนและข้อมือ ผู้หญิงใส่กระโปรงลายปัก มีผ้าลายปักรัดเอวสวยงามมาก เสื้อแขนยาวคล้ายของผู้ชาย ปัจจุบันการแต่งกายดังกล่าวหาดูได้ยาก นอกจากงานประเพณีปีใหม่เท่านั้น คนรุ่นใหม่แต่งกายตามสมัยนิยม ภาษา ประชาชนทั้งหมดพูดภาษาม้งโดยตรง มีสำเนียงคล้ายภาษาจีน การละเล่นพื้นบ้านที่นิยมสืบต่อกันมาช้านาน คือ การตีลูกข่าง ลูกข่างทำมาจากไม้เนื้อแข็ง เช่น ไม้แดง ในสมัยโบราณใช้เป็นอาวุธลับชนิดหนึ่ง สามารถขว้างปาใส่ศีรษะของคู่อริได้อย่างแม่นยำและรุนแรงในระยะ 10 - 20 เมตร ทำให้ตายได้ ต่อมาได้กลายเป็นการละเล่นไป การตีลูกข่าง เล่นเพื่อแข่งขันในเรื่องความแม่นยำและความสนุกสนาน การโยนลูกข่าง ลูกข่างทำมาจากเศษผ้า มีลักษณะกลมขนาดเท่าส้มเขียวหวาน นิยมเล่นในเทศกาลปีใหม่ การโยนต้องโยนระหว่างผู้หญิงกับผู้ชายเท่านั้น เป็นคู่ ๆ คู่ใครคู่มัน ในสมัยโบราณถือเป็นการโยนเพื่อเลือกคู่ครอง มีข้อแม้ว่าหญิงชายแซ่เดียวกันจับคู่โยนกันไม่ได้ ตามประเพณีที่ว่า แซ่เดียวกันจะแต่งงานกันไม่ได้ ภูมิปัญญาท้องถิ่น การปักลายผ้าด้วยลวดลายต่าง ๆ ผู้หญิงม้งทุกคน เมื่ออายุประมาณ 5 ขวบ แม่ก็จะเริ่มสอนเรื่องการปักผ้าและเย็บผ้าด้วยลวดลายต่าง ๆ จะกระทั่งโตขึ้น อายุประมาณ 15 ปี ถือว่าจบหลักสูตรผู้หญิงม้ง จึงมีความรู้เรื่องการเย็บผ้าและการปักผ้าเป็นลวดลายต่าง ๆ การตีมีด ผู้ที่มีความสามารถในการตีมีดได้คม ทนทาน อายุการใช้งานนาน คือ นายจ๋าสือ แซ่สง สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ วัดป่าทับเบิก เป็นสถานปฎิบัติธรรมสายธรรมยุตินิกาย จุดเด่นคือ พระมหาธาตุเจดีย์โพธิปักขิยธรรม สร้างเมื่อ พ.ศ. 2549 พระอาจารย์วัชระ วิจิตโต สร้างขึ้นเพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆประรินายก ทรงเมตตาประทาน พร้อมผ้าพระกฐินแก่วัดในปี พ.ศ.2555 ทุ่งดอกพญาเสือโคร่ง หรือที่เรียกกันว่าซากุระเมืองไทย

บ้านทับเบิก









บ้านทับเบิกใหม่
บ้านทับเบิกใหม่ ตั้งอยู่หมู่ที่ 16 ตำบลวังบาล อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ ประวัติความเป็นมา บ้านทับเบิกใหม่ ตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2541 เดิมบ้านทับเบิกใหม่เป็นส่วนหนึ่งของบ้านทับเบิก เมื่อมีประชากรเพิ่มมากขึ้น จึงได้ขอแยกหมู่บ้าน เมื่อตั้งหมู่บ้านใหม่ จึงเรียกชื่อว่า “บ้านทับเบิกใหม่” สภาพภูมิศาสตร์และการคมนาคม สภาพโดยทั่วไปของบ้านทับเบิกใหม่เป็นภูเขาสูงมีหน้าผาสูงชัน อากาศหนาวเย็นตลอดปี มีอาณาเขตติดต่อดังนี้ ทิศเหนือ ติดต่อกับ บ้านทับเบิก ทิศใต้ ติดต่อกับ บ้านน้ำเพียงดิน ทิศตะวันออก ติดต่อกับ บ้านเหมืองแบ่ง ทิศตะวันตก ติดต่อกับ อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า การคมนาคม มีถนนคอนกรีตเสริมเหล็กภายในหมู่บ้าน และเชื่อมต่อกับถนนสายโจะโหวะ – ภูหินร่องกล้า การเดินทางสะดวกตลอดปี ระยะทางจากบ้านทับเบิกใหม่ถึงอำเภอหล่มเก่า ประมาณ 35 กิโลเมตร ประชากร มีประชากร 1,667 คน ชาย 843 คน หญิง 824 คน จำนวน 554 ครัวเรือน เป็นชาวไทยภูเขาเชื้อ สายม้งทั้งหมด มี นายมา วงศ์ทับเบิก เป็นผู้ใหญ่บ้านคนแรก อาชีพ ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำการเกษตร พืชเศรษฐกิจที่สำคัญ คือ กะหล่ำปลี ข้าว ข้าวโพด ขิง ถั่วลันเตา และลิ้นจี่ ศาสนา วัฒนธรรม และประเพณี ประชาชนร้อยละ 80 นับถือลัทธิความเชื่อเก่า ๆ ร้อยละ 10 นับถือศาสนาพุทธ อีกร้อยละ 10 นับถือศาสนาคริสต์ ประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาช้านาน คือ ประเพณีปีใหม่ การแต่งงานขึ้นบ้านใหม่ เปลี่ยนชื่อ งานศพ การทำบุญแจกข้าว ปัจจุบันนิยมแต่งกายตามสมัยนิยม ส่วนการแต่งกายชุดประจำเผ่าจะพบเห็นในงานเทศกาลปีใหม่เท่านั้น ประชาชนพูดภาษาม้ง การละเล่นพื้นบ้าน คือ การตีลูกข่าง การโยนลูกช่วง (เหมือนกับของบ้านทับเบิก)

บ้านทับเบิกใหม่







บ้านนาสะอุ้ง
บ้านนาสะอุ้ง อยู่ในเขตท้องที่ หมู่ที่ 17 นาสะอุ้ง หรือ " สะนาจุ้ง " ชาวบ้านที่นี่เป็น “กลุ่มชาติพันธุ์ถิ่น” ชุมชนลาวที่อพยพมาจาก จ.น่านสู่ชุมชนในหุบเขา และวัฒนธรรมท้องถิ่นเดิม "บ้านนาสะอุ้ง" มีวัฒนธรรมเผ่าถิ่นสัมผัส มีอาหารพื้นบ้าน ขนมไทย เครื่องดนตรีโบราณ ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ส่วนไฟฟ้านั้นชุมชนบ้านนาสะอุ้ง ใช้แผงโซล่าเซลล์ ไฟฟ้ามีเป็นช่วงเวลา ไฟฟ้าไม่ได้มีตลอด ห่างจากทับเบิก 12 กม. สภาพภูมิศาสตร์และการคมนาคม สภาพโดยทั่วไปของบ้านนาสะอุ้ง เป็นหุบเขา มีลักษณะเป็นแอง อากาศหนาวเย็นตลอดปี มีอาณาเขตติดต่อดังนี้ ทิศเหนือ ติดต่อกับ บ้านหมากแข้ง อ.ด่านซ้าย จ.เลย ทิศใต้ ติดต่อกับ บ้านทับเบิก ทิศตะวันออก ติดต่อกับ บ้านห้วยหอย ทิศตะวันตก ติดต่อกับ อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า การคมนาคม ทางเข้าชุมชนมี 2 ทาง -ทางแรกคือเข้าจาก ภูทับเบิก ถึงแยกทางเข้าวัดป่าภูทับเบิก ตรงยาวไปราว 10 กม. จะพบชุมชนแห่งนี้ -ทางที่ 2 เข้าจากถนนสายหล่มเก่า-ด่านซ้าย มาทางชุมชนหมากแข้ง-ชุมชนนาสะอุ้ง ระยะทางเพียง 6กม.(ทางหลัก) ประชากร มีประชากร 247 คน ชาย 122 คน หญิง 125 คน จำนวน 86 ครัวเรือน เป็น "กลุ่มชาติพันธ์ถิ่น" อาชีพ ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำการเกษตร และเลี้ยงสัตว์ พืชเศรษฐกิจที่สำคัญ คือ ข้าว ข้าวโพด ขิง กาแฟ ศาสนา วัฒนธรรม และประเพณี ประชาชนนับถือทั้งศาสนาพุทธ คริสต์และผีบรรพบุรุษ ประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาช้านาน คือ ประเพณีปีใหม่ ประเพณีกินข้าวใหม่ คริสมาส

บ้านนาสะอุ้ง